top of page

ญี่ปุ่นคืนเดียว ตอน Fukui

การไป Fukui ครั้งนี้ เป็นการไปทำงานในหน้าที่ผู้จัดการศิลปินอูคูเลเล่ชาวฮาวาย Kalei Gamiao ที่ผมอาสาเป็นคนดูแลทุกอย่างในเอเชียให้เขาหมด โดยไม่คิดค่าตัวสักแดง เนื่องจากผมอยากช่วยเขามากกว่าจะมาคิดตังค์ เพราะทีเขาและพ่อของเขาช่วยอะไรผมมากมายตอนผมตั้งไข่ในโลกอูคูเลเล่ เขายังทำด้วยใจเลย และนี่คือส่วนหนึ่งของการทัวร์เอเชียสองเดือนของเขา โดยมีฐานทัพเป็นกรุงเทพ แล้วอาศัยบินออกไปสู่ประเทศต่างๆ เมืองต่างๆ มากมาย ตามแต่ใครจะจ้างเขาและส่งตั๋วเครื่องบินให้เขาและผมมาได้ เราก็ไปหมด จบการเกริ่นศิลปินแค่นี้ เพราะจากนี้จะเป็นเรื่องการไป Fukui คืนเดียว มาดูกันครับว่าไปแค่คืนเดียว จะทำอะไรได้บ้าง มา Fukui รอบปฐมฤกษ์ค่อนข้างมึนงง เพราะเรามีคนจัดการหางานแสดง เวิร์คช๊อป หรือปรากฏตัวอะไรก็ตามที่ญี่ปุ่นให้ พอเราลงเครื่องที่ญี่ปุ่นปุ๊บ เขาก็เอาตั๋วให้ พร้อมพาไปส่งสนามบินในประเทศ กระโดดขึ้นเครื่องไปลงที่ Komatsu เพื่อไป Fukui ซึ่งไม่ได้มีสนามบินกับเขา มันเป็นงานเราก็ไปกัน แม้ไม่รู้ว่าเมืองนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่ ในภาพคือคนจัดงานที่ Fukui ชื่อ Iwasa-san เป็นขาใหญ่เรื่องอูคูเลเล่ของที่นี่ แต่เขาเป็นเจ้าของร้านอูคูเลเล่ที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่นครับ

ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงอะไร เพราะพี่แกไม่ค่อยพูดเนื่องจากไม่ถนัดภาษาอังกฤษ เฮียอิวาสะก็พาเราไปจัดมื้อแรกที่ Fukui ณ ร้านอาหารท่าทางคลาสสิค ขายอย่างเดียวทั้งร้าน ทงคัทสึ ครับท่าน มาชิ้นเขื่องอย่างที่เห็น ขออภัยที่ชื่อร้านอะไรอย่างไรผมไม่บอก เพราะผมไม่รู้ ท่านอ่านเพลินๆ ไม่ต้องตามไปกินก็ได้นะครับ เพราะนี่คือ blog หาใช่ไกด์บุ๊คไม่ :)

ตลอดการไปอยู่ที่ Fukui เฮียอิวาสะจะมีสตรีญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้ สลับกันมาเป็นล่ามตลอดเวลา ผมเดาๆ ดู เห็นว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน น่าจะหามาจากที่ไหนสักแห่ง และคิดว่าเป็นอาสาสมัครด้วย ประมาณพอมีโอกาสให้ได้ใช้ภาษาอังกฤษ คนที่พูดได้ก็อยากมาทดลองใช้ คราวนี้คนอเมริกันมา ได้ใช้แน่นอน แต่ต้องใช้กับกระผมซึ่งเป็นอเมริกันปลอมไปด้วย ปล.โปรดสังเกตุมือของพี่ล่าม พอถ่ายรูปก็นำมาวางเรียบร้อยตามระเบียบกุลสตรีญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว

หลังทานข้าว เขาพาเราไปเช็คอินโรงแรม ทำให้ทราบว่าเมืองนี้มีดีที่ไดโนเสาร์ มีพิพธภัณฑ์ไดโนเสามีชื่อเสียงตั้งอยู่ แต่ท่าทางเฮียอิวาสะจะไม่พาเราไป เพราะเขาตั้งใจจะขับรถพาเราไปดูสิ่งมหัศจรรย์ของโลก Tojinbo

Tojinbo นั้นคือชื่อสถานที่ แต่เขามีหอคอยชื่อเดียวกันด้วย ที่ญี่ปุ่นมีหอคอยหลายแห่ง ซึ่งถ้าใครเป็นโอตาคุหอคอยตัวจริง ต้องไปขึ้นให้หมดทุกอันที่มี พอดีผมไม่ใช่เลยไม่ได้ขึ้น เราจะมุ่งหน้าผ่านร้านค้าไปสู่ Tojinbo มันคืออะไรเดี๋ยวได้รู้กันครับ

เนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเอกของ Fukui เหมือนกัน สองข้างทางจึงมีร้านค้า ขายทั้งอาหารทะเลสดๆ ของดีโอทอป และของฝากเต็มไปหมด นี่ถ้าผมมาเที่ยวเอง คงหยุดตรงนี้สักพักเลย แต่มากับเฮีย เฮียเดินตรงดิ่งไปเลย ผมเลยได้แต่เก็บภาพเอาไว้เป็นที่ระลึก

จวนแล้วครับ พ้นลานนี้ไป ก็จะถึงกันสักที จะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นล้วนๆ ที่มาที่นี่ แน่ละครับทัวร์จีน ทัวร์ไทย ทัวร์ฝรั่ง ไม่มาแน่นอน แต่หลังๆ มาผมเริ่มเห็นมีการ mention Fukui ในสื่อท่องเที่ยวไทยแล้วนะครับ จำได้ว่าของ JTB หรือ HIS นี่แหละ แต่ไม่รู้จะมีใครซื้อทัวร์เขาไหม

เห็นที่บินอยู่มุมขวาบนไหมครับ นั่นคือเหยี่ยวอะไรสักอย่าง เขามีป้ายเตือนเลยให้ระวัง อย่าได้ถือของกินอะไรมายืนแถวนี้ ไม่งั้นกรงเล็บเหยี่ยวจะมาเยือน เพียวเสี้ยววินาที เหยี่ยวตัวเขื่องจะตีปีกมาแย่งชิงของกินจากปากท่านไปอย่างน่าอัศจรรย์ ผมไม่ได้ลองดู แต่ท่าทางมันจะโหดจริงครับ บินวนไปวนมา อย่างกะแร้งรอละเลียดไวล์เดอร์บีสครับ

นี่ไงครับ Yojinbo มันคือชื่อสถานที่แห่งนี้ ความมหัศจรรย์ของเสาหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ว่ากันว่าทั้งโลกมีแบบนี้แค่สามแห่ง นี่คือหนึ่งในนั้นครับ แต่แค่นั้นยังไม่พอ เขามีตำนานด้วย ไกด์อาสาสมัครที่มากับเรา(เปลี่ยนคนอีกแล้ว) เล่าว่า Yojinbo คือชื่อของพระองค์หนึ่ง มีนิสัยโหดร้าย ชาวบ้านไม่ชอบ เลยวางแผนผลักลงเหวที่นี่ตอนเมา เป็นเหตุให้ Yojinbo ตายตรงนี้ และวิญญาณได้สิงสถิตย์อยู่ไม่ไปไหน ทำให้เกิดคลื่นแรงกระหน่ำปานคนคุ้มคลั้น แต่ตอนหลังมีพระอาจารย์ท่านหนึ่งมาสะกดวิญญาณไว้ได้ ที่แห่งนี้จึงไม่มีผีสิงอีกต่อไป ทว่าชาวญี่ปุ่นจะนิยมมาฆ่าตัวตายกันที่นี่ กระโดดลงหน้าผาลึก 30 เมตร คร่าชีวิตตัวเอง เฉลี่ยปีละ 25 คน นับเป็นเรื่องเศร้า และสร้างความหดหู่ให้สถานที่จริงๆ สิครับเนี่ย

Yojinbo จากอีกมุม เดี๋ยวจะเดินเข้าไปดูกันแบบเผาขนครับ เห็นแบบนี้ มีทั้งขึ้นเขา ลงเขา เหนื่อยโคตรๆ ขอบอก (ขออภัยนะครับ ภาพประหลาดนั่นมันมาได้ไงไม่รู้ ผมล่ะงง)

เชิญคลิ๊กเข้าไปชมแบบขยายกันนะครับ จริงๆ ผมคงไม่ไปปีนป่ายอะไรนัก เพราะสังขารใช่ว่าฟิตเปรี๊ยะ แต่ท่านศิลปินที่ผมดูแลเขาจะไปให้ถึงยอด ซึ่งเราต้องลงจากลานเมื่อข้างต้นไปที่ฐานของกลุ่มเสาหิน แล้วไต่ขึ้นไปใหม่ มันเหนื่อยระดับหนึ่งเลยครับงานนี้ แต่วิวก็สวยมากๆ อาหาศดี อะไรๆ ก็ดี เสียอย่างเดียวดันมีคนมาตายมากมายตรงนี้ ทุกจุดที่เรายืน ส่วนมากมีคนเคยโดดลงไปหมด

ถ่ายภาพสามคนเอาไว้หน่อย คนซ้ายเสื้อดำ คนฮาวาย เซียนอูคูเลเล่ระดับโลก คนกลางเฮียอิวาสะคนจัดงานของที่นี่ ส่วนไอ้คนที่เขียนให้ท่านอ่านก็ไอ้เสื้อฮาวายแว่นดำนั่นครับ

ภาพนี้คือหลักฐานความลำบาก และคนถ่ายท่าทางจะสนุกกับมัน ผมล่ะหัวใจจะวายทั้งชันทั้งเยอะขั้น หลังๆ ไม่มีขั้นเป็นการปีนหินซะงั้น

ก่อนกลับเดินผ่านรูปปั้น Tojinbo ตัวจริงครับ

จากนั้นเขาพามาเข้าเมือง ดูรถสิ ครับเล็กได้ใจจริงๆ จอดแล้วเหลือๆ เลย ส่วนอาคารนั้นคือธนาคารแห่งแรกของแถวนี้

จัดเป็นเมืองริมทะเล ที่เงียบสงบเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือบรรยากาสในเมืองใกล้ๆ Tojinbo ครับ

อีกสักมุม ไม่มีคน ไม่มีรถ มีแต่พวกผม อย่างชิลเลย

เขาพามาที่นี่ไม่ใช่อะไร เขาพามาให้ลองทานไอติมเกลือ รสชาดเข้าท่า ไอติมเกลือดันไม่เค็ม แต่ออกหวาน เฮ้ยมันยังไงกัน แต่สรุปว่าอร่อยครับ

ร้านไอติมเกลือครับ เป็นร้านเจลาโต หรือไอศครีมอิตาเลี่ยน แต่ผมขอเรียกว่าไอติมเกลือ มันดูรากหญ้าดี

เที่ยวเสร็จได้เวลาทำงานครับ คืนนี้ไม่มีการแสดงอะไร แต่เป็นเวิร์คช็อปอูคูเลเล่ครับ ในภาพคือที่ร้านอูคูเลเล่ ชื่ออูคูเลเล่ คลัสเตอร์ กาคุโตะ เจ้าของบอกว่านี่คือร้านที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่น ดูจากภาพผมถ่ายจากหน้าประตูเข้าไป ส่วนคนที่เสื้อดำกำลังดื่มน้ำกระป๋องเหลืองๆ นั่นคือศิลปินผมเอง เขายืนอยู่สุดร้าน

ที่นี่เขาสุดติ่ง ยอมจ่ายเงินเอาพวกผมบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อสอนแฟนอูคูเลเล่ในสิ่งที่เขารอคอย ค่าเวิร์คชอปแพงหูฉี่ แต่ศิลปินที่เขาชื่นชอบได้มาสอนเขาถึงบ้าน ที่ญี่ปุ่นคนเขาเอาจริงกันมาก เวลาชอบสิ่งใด เขาต้องไปให้สุด และนี่คือตัวอย่างครับ ขณะทำเวิร์คชอป ผมไม่มีที่ให้อยู่เลย เนื่องจากร้านเล็กแสร่ดดดด ผมเลยดอดออกมา หวังจะไปช๊อปปิ้งหรือเดินชมร้างรวงต่างๆ เวิร์คชอปเขาเริ่มหนึ่งทุ่มถึงสี่ทุ่ม ผมก็ดันไปนั่งข้างนอกร้านเฉยๆ เพิ่คิดได้ตอนสองทุ่ม จึงรีบออกเดิน

และนี่คือภาพที่เห็นครับ ทุกสรรพสิ่งปิดหมดแล้ว ดูหอนาฬิกากลางเมือง Fukui อยู่หน้าสถานีรถไฟ Fukui ก็ระบุว่าแค่สองทุ่ม ทว่ามันไร้ผู้คน ร้านค้าก็ปิดกันหมด เมืองนี้ช่างเงียบงันขั้นเทพจริงๆ ผมต้องรออีกสองชั่วโมง จากการเป็นเซียนใช้เวลาวันเดียวให้เป็นประโยชน์สูงสุด มาเมืองนี้ไปไม่เป็นแล้วครับ ด้วยประการฉะนี้ ผมจึงเดินไปกดน้ำ แล้วมานั่งหน้าร้านรอด้วยความหง่าว

แต่การรอคอยมันก็คุ้มค่า พอเสร็จงาน เฮียอิวาสะพาเราไปกินซุชิร้านเด็ด ร้านนี้เป็นร้านคนญี่ปุ่นทาน เมนูก็เป็นซุชิทั่วไป ไม่ได้แฟนซีอะไรนัก แต่รสชาดมันแน่นอนจริงๆ ยิ่งเป็นเมืองติดทะเลด้วยแล้ว ของเขาสดได้ใจจริงๆ ครับ ต้องขอบคุณศิลปินที่ผมดูแล ที่ชอบซุชิเป็นพิเศษ ไปไหนกับเขาเลยได้ทานซุชิตลอดเวย์

เฮียอิวาสะกับไกด์คนต่อไป คนนี้พูดปร๋อเลย เธอบอกเรียนโทภาษาอังกฤษมาเลย เรียนที่ญี่ปุ่นนี่แหละ แต่พูดเป็นอเมริกันชนเลยครับ

เนื่องจากความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี เราจึงต้องยุติการกินแค่เพียงเท่านี้ เพราะหากเราทานได้อีก เขาก็จะสั่งมาอีก ภายใต้การดูแลของผม เราต้องแดกอย่างมีสติ มิใช่ก้มหน้าก้มตากิน งานนี้งานเล็ก เขาดีไม่ดีไม่มีกำไร แต่คาดว่าคงแค่อยากให้เกิดงานขึ้นจึงจัด เราจะไม่ทำให้เขาเสียเงินเกินไป และเราจะไปต่อมื้อดึกกันเอง เล็งไว้แล้วตรงข้ามโรงแรม 555

บรรยากาศร้านซุชิที่เฮียอิวาสะพาไปทาน ผมชอบมากเวลาไปทานอะไรที่คนญี่ปุ่นเขาทานกันจริงๆ แบบนี้

และนี่คือมื้อดึกครับ ปิ้งย่างกันชิลๆ อร่อยเหาะเลยครับ จริงๆ กินมากกว่าที่ถ่าย แต่มันภาพซ้ำ เพราะสั่งแค่ไม่กี่อย่าง คืนนั้นกลับโรงแรมพุงปลิ้นกันไป วันรุ่งขึ้น อิวาสะส่งพวกเราขึ้นรถบัสมุ่งหน้าสู่สนามบิน Komatsu เพื่อขึ้นเครื่องในประเทศไปโตเกียว เป็นอันจบอีกแล้วสำหรับการมาเยือนแบบนกกระจอกยันไม่ทันจะเปิดขวด อย่าว่าแต่กินน้ำเลยครับ


Follow Us
  • Twitter Basic Black
  • Facebook Basic Black
  • Google+ Basic Black
Recent Posts
bottom of page