top of page

ญี่ปุ่นคืนเดียว ตอน ซัปโปโร

การไปซัปโปโรคืนเดียวของผมมีที่มาประหลาดนิดนึงครับ เรื่องมีอยู่ว่าผมต้องไปทำงานที่โตเกียวแบบกระทันหัน ทำให้ตั๋วเครื่องบินหายากมากๆ และถ้าจะไปและกลับให้ได้ไวที่สุด ผมต้องเดินทางแบบลงที่โตเกียวแล้วกลับที่ซัปโปโร นั่นคือ ผมลงเครื่องที่โตเกียว ไปทำงานให้เสร็จ วันรุ่งขึ้นนั่งเครื่องในประเทศไปซัปโปโร อยู่หนึ่งคืน แล้วเช้าโคตรๆ ของวันรุ่งขึ้นก็กลับไทยเลย สะเด่าไหมครับ เรียกว่าไปแบบกลิ่นญี่ปุ่นยังไม่ติดเลยก็ว่าได้ แต่ก็ทำไปแล้ว และพอดีหลังจากนั้นสองเดือน ผมจะกลับมาเที่ยวแบบคนปกติเขาเที่ยวกันพร้อมเพื่อนและครอบครัวอีกที เลยคิดว่ามาสำรวจดุก็ดีเหมือนกัน ซึ่งก็เข้าท่าดีครับ เลยจะมาเล่าให้ฟังว่าเวลาน้อยๆ ทำอะไรได้บ้างครับ การไปครั้งนี้ดันเป็นช่วงที่อากาศยังหนาวอยู่ที่ฮอกไกโด ประมาณ 11 องศาได้ ส่วนที่โตเกียวนั้นประมาณยี่สิบกว่าๆ โอเคแล้ว เรื่องของโตเกียวเราไม่พูดถึง เพราะผมมีโตเกียวไปเช้าค่ำกลับรอเอามาเขียนอยู่ เรามาโฟกัสที่ซัปโปโรคืนเดียวกันครับ พอเสร็จงานผมนอนหนึ่งคืนที่โตเกียว พอเริ่มวันใหม่มาผมไปทำงานให้จบ ตกค่ำก็ขึ้นเครื่อบินสู่ซัปโปโร ซึ่งตั้งอยู่เกาะฮอกไกโด เหนือสุดแดนญี่ปุ่น เครื่องลงเป็นไฟลท์สุดท้าย ดึกแบบมีเสียวรถไฟหมด แต่ก็ทันครับ ผมนั่งรถไฟจากสนามบินมาซัปโปโรประมาณ 30 นาที เมื่อมาถึงสถานีเดินออกมาก็พบกับความหนาวเกินคนไทยทน ผมเลยลงใต้ดิน (ที่นี่มันหนาวมาก เขาเลยทำทางเดินใต้ดินไปโผล่ได้ตามจุดต่างๆ เหมือนมีอีกถนนอยู่ใต้ถนนภาคพื้นดิน) พอไปถึงโรงแรม เช็คอินเสร็จก็ออกเดินก่อนเลยครับ ที่นี่เขามีย่านเปิดดึกอยู่ชื่อ Susukino เป็นย่านแสงสีของที่นั่น ผมเดินไปตามทางเดินใต้ดิน แล้วมาโผล่ที่สวนโอโดริ ซึ่งเป็นสวนสาธารณะเอกของเมืองนี้ พอหน้าร้อนอากาศดีๆ เหมือนหน้าหนาวไทย เขาจะมีเบียร์การ์เดนกัน แต่หน้าเพิ่งหายหนาว มันยังหนาวไปที่จะไปทำอะไรข้างนอกกัน ผมเดินจากแถวนั้นไม่ไกลก็ถึงย่าน Susukino แวะเข้าร้าน Donquixote เดินเล่นแล้วไปหาอะไรฟาดปาก

ก็ได้เซ็ทในรูปนี้มาครับ เขาว่ากันว่าอาหารทะเลที่ฮอกไดโดสดอร่อย ใครมาต้องจัดให้ได้ ไม่งั้นแปลว่าไม่ถึง โดยเฉพาะพวกไข่ปลา หรือ อสุจิหอยเม่น (ที่เราเรียกมันว่า Uni นั่นแหละ) ผมมาคนเดียว ก็ตรงรี่ไปนั่งเคาเตอร์ และใช้ภาษาญี่ปุ่นที่เล่าเรียนมา สั่งแบบงูๆ ปลาๆ ได้ชุดนี้มาทานอิ่มพุงกาง มันสดจริงๆ ด้วยครับ พอทานเสร็จผมก็เดินกลับ คราวนี้ด้วยความที่ไม่ได้ชินกับเมืองนี้เลย ทำให้ผมเดินผิดทิศ ยิ่งเดินยิ่งเงียบและมืด สองข้างทางไม่คุ้น คนก็ไม่มีเพราะมันหนาวโคตรๆ ผมเลยควักมือถือมาเปิดกูเกิลแผนที่ดู ปรากฏว่าเดินไกลออกไปจากที่ๆ ควรจะไปถึงเกือบสองกิโลเมตร แล้วตอนนั้มันจวนตีสองเข้าให้แล้ว ง่วงก็ง่วง หนาวก็หนาว แต่ผมก็คลำทางกลับโรงแรมจนได้ คืนนั้นหัวถึงหมอนก็หลับไปเลย

เช้าตรู่ ผมรีบตื่นตามสูตรของคนมีเวลาวันเดียว ผมเลือกไปที่ๆ มันไม่มีเวลาเปิดปิด จะได้ไปได้ไวๆ ซึ่งมันก็คือคลองนั่นเอง คลองนี้ชื่อคลองโอตารุ ต้องนั่งรถไฟสายหวานเย็นไปประมาณครึ่งชั่วโมง ถึงแล้วเดินจากสถานีไปคลองอีกหนึ่งกิโลเมตร เมื่อมาถึงก็จะพบกับคลองในภาพนี้ ซึ่งก็สวยดีและมีคนนำมาลงมากมาย ผมเลยจะไม่ลงภาพสวยๆ แต่ลงภาพตาด่องกับคลองนี้แทน อากาศจริงๆ หนาวเหมือนกัน แต่เดินเป็นกิโลบวกกับแสงแดดทำให้ผมต้องถอดเสื้อหนาว (แต่ใต้เสื้อเชิร์ตมีอีกชั้น) ตอนผมไปแม้เช้าตรู่ แต่ก็มีคนมาเที่ยวกันแล้ว ผมจำแนกออกได้เป็นสามกลุ่มที่เห็นชัดเจน นั่นคือ 1. ทัวร์จีน กลุ่มนี้ไม่ต้องบรรยายมากก็พอจะเดากันออก พวกเขาจะมีเสียงเป็นสเน่ห์ ที่บริเวณจุดถ่ายรูปจะพบพวกเขาได้เต็มบริเวณที่เป็นจุดถ่ายภาพสวยๆ เจอทีเป็นกลุ่มใหญ่ๆ อึกทึกมโหฬารบานตะไท 2. ทัวร์คนสูงอายุญี่ปุ่น กลุ่มนี้จะมาเงียบๆ มีไกด์สาวๆ นำมาพร้อมธง พวกเขาไม่ได้ไปยืนติดชิดคลองเพื่อถ่ายภาพ แต่จะมีการเตรียมอัธจรรย์ที่สามารถยกเก็บได้ ห่างออกมา เอาไว้ให้ใช้ถ่ายภาพหมู่ ยืนบนพื้นแถวนึง ยืนบนอัฐจรรย์แถวหนึ่ง ดูเป็นระเบียบ และมีทีเด็ดตรงที่เมื่อยืนกันแล้ว รูปที่ถ่ายออกมาจะสวยงามมาก เนื่องจากเขาจะยืนบังชาวจีนที่เซ็งแซ่กันอยู่หน้าคลองมิดสนิทเป๊ะไปเลย 3. ทัวร์ไทย ที่ตามโปรแกรมจะ "เชิญเดินเล่นตามอัธยาศรัย" นั่นทำให้ผมเห็นนักท่องเที่ยวชาวไทย เดินกันประปรายตามจุดต่างๆ เสียงไม่ดังเท่าจีน แต่ญี่ปุ่นเบากว่า เท่าที่เห็นชาวไทยแม้จะทำอะไรขัดมารยาทญี่ปุ่นอยู่บ้าง แต่ไม่น่าจะทำให้ญี่ปุ่นเดือนร้อนใจนัก เพราะพี่จีนเขาจัด extreme ให้หมดทุกด้านแล้ว เวลาด่าคงไปลงที่พี่ๆ เขามากกว่า

จากนั้นผมมาเดินที่ถนน Sakaimachi ซึ่งผมให้นิยามมันว่าถนนมุ้งมิ๊ง เพราะว่ามันีอะไรน่ารักเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นร้านขายขนม ร้านแก้ว ร้านเครื่องประดับ ร้านกล่องดนตรี ร้านอะไรต่อมิอะไรที่ตกแต่งสวยงามส่วนมากอยู่ในอาคารเก่าเอามาโมใหม่ สาวๆ น่าจะชอบเดิน และหาชมภาพได้ง่ายๆ ผมเลยลงแค่สองใบพอ

ที่ผมชอบคือร้านนี้ ที่ชอบเพราะเขามีหมา labrador มาคอยต้อนรับแขก สินค้าเขาผมไม่ค่อยสนใจ แต่หมานี่แหละพาผมเข้าไป เลยได้ไปชมงานฝีมือต่างๆ ของเจ้าของร้าน ลูบหัวหมาแล้วออกเดินต่อไป

ข้างทางก็มีร้านขายอาหารทะเลสดๆ มีโต๊ะง่ายๆ ให้นั่งทานแบบไวๆ ปิ้งกินกันตรงนั้นเลย ราคานับว่าถูกกว่าบ้านเรานักหนา ที่สำคัญคือสด ผมไม่ได้ลอง และกะจะกลับมาอีกทีพร้อมครอบครัว ซึ่งพอผมมาจริงๆ อีกที ฝนมันเทกระหน่ำลงมา จนทริปโอตารุของผมหนนั้นค่อนข้างจะกาก แต่ไม่กากเพราะจบสวย สวยอย่างไร หากผมได้นำมาเล่าท่านจะทราบเอง

ตัวอย่างอาหารทะเลสดๆ ใหม่ๆ อร่อยๆ ที่ขายกันเต็มไปหมดที่โอตารุ ผมคิดว่าเหมือนกันหมดแหละ เพราะน่าจะมาจากแหล่งเดียวกันหมด ซึ่งสำหรับผมที่ญี่ปุ่นเข้าร้านไหนก็อร่อยหมด เมื่อเทียบกับอาหารญี่ปุ่นระดับทั่วไปในไทย ทำให้หลายท่านสามารถเขียนไกด์พากินได้ด้วยการเข้าร้านอาหรอะไรก็ได้ที่เจอ มันก็อร่อยหมดจริงๆ

และนี่คือสิ่งที่ผมทานเป็นอาหารเช้าและกลางวันรวมกัน ว่ากันว่าอาหารทะเลที่ฮอกไกโดสดอร่อย ใครมาต้องกิน ไม่งั้นไม่ถึง โดยเฉพาะสองอย่างในภาพนั่น ผมก็เลยกินซะเลย พบว่านอกจากราคาจะเจ๋งแล้ว รสชาดยังสะเด่ามาก ที่สำคัญคือมันไม่คาวเลย (แน่ล่ะมันเป็นไข่ปลากับหอยเม่นนี่หว่า วัวที่ไหน) ร้านที่ผมทาน มันซ่อนอยู่หลังถนนที่เขาเดินกัน คนน้อยดี ผมเลยตกลงปลงใจเข้าไปกิน

เดินมาจนสุดถนนตรงบริเวณนี้ ก็ได้ไอเดียว่าครั้งหน้ามา ผมจะนั่งรถไฟเลยไปหนึ่งป้าย มาลงป้ายใกล้ๆ แถวนี้แทน แล้วค่อยเดินต่อไปยังคลองโอตารุ ก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานีโอตารุกลับ ผมเดินดูถนนนี้ แล้วไปจบที่คลอง ดีกว่าไปคลองแล้วมาจบตรงนี้ คลองจะได้ดูเหมือนเป็นพระเอกของเรื่อง ทั้งๆ ที่มันก็คลองนี่แหละ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่มันสวยจริงๆ ครับ แค่ไม่เร้าใจ

จากนั้นผมนั่งรถไฟกลับมาซัปโปโร แวะ Bic Camera Yodobashi และ Kinokuniya ที่ตั้งอยู่ใกล้สถานี แม้แค่สามแห่ง แต่ล่ะเวลาผมไปตั้งแต่บ่ายหนึ่งยันบ่ายสี่ จากนั้นผมรีบแจ้นไปชมสวนโอโดริตอนกลางวัน เพื่อให้ได้ชื่อว่ามา

ต่อด้วยหอนาฬิกาที่ใครๆ ก็มา ผมก็เลยมาบ้างชีวิตนี้จะได้ไม่ต้องมาอีก ผมไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะต้องรีบไปตามหาคินนิคุแมน ฟิกเกอร์ที่ผมโปรดปราน ผมไปที่ Mandarake ซึ่งตั้งอยู่ละแวกใกล้ Susukino ทำให้เจอร้านของเล่นเก่าอีกร้านด้วย แต่ไม่ได้อะไรมาเลยเพราะที่จะเอามันไม่มี ที่สุดท้ายที่ผมตั้งใจจะไปในวันนี้คือตรอกราเมง ที่ๆ ใครมาก็เอามาลงกันจัง ผมเลยอยากมาพิสูจน์บ้างว่ามันเป็นอย่างไร

ในละแวกเดียวกัน มีตรอกแห่งนี้ตั้งอยู่ (ทางเข้าแคบๆ ทางขวานั่น) มันคือตรอกราเมง ตรอกที่รวมร้านราเมงแบบต่างๆ เอาไว้คับตรอก ใครชื่นชอบอาหารเส้นๆ ของญี่ปุ่นนี้ ที่นี่น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีครับ

นี่คือผังร้านราเมงต่างๆ เริ่มจากด้านหนึ่งของตรอกไปถึงทางออกอีกด้านหนึ่ง นับได้ 17 ร้าน ถ้าใครบ้าอยากกินให้หมดต้องอยู่หลายวันหน่อย เพราะผมว่าชามหนึ่งนี่ใหญ่ขนาดเลี้ยงสาวไทยได้หกคนเลยทีเดียว นอกจากจะเจอสาวไทยหัวใจสวาปามราเมงอาจจะได้หนึ่งต่อหนึ่ง

นี่คือบรรยากาศของตรอกราเมง ณ เวลาที่ผมไป ซึ่งคงเป็นเวลาที่ใครๆ เขาไม่ไป มันเลยโล่งแบบนี้ครับ และที่ผมเอาภาพใหญ่เกินความจำเป็นมาลงให้ดู ก็เพื่อจะให้ท่านดูความสะอาดของเขา ลองนึกภาพว่าถ้าที่บ้านเราใครชวนไปแดกเตี๋ยวในตรอก ท่านจะเห็นภาพอะไร แต่นี่โปรดชมตรอกราเมงครับ พื้นสะอาดระดับทำโอเล่ตกแล้วรีบหยิบขึ้นมาอมได้เลย เขารักษาความสะอาดได้เยี่ยมยอดจริงๆ สถานที่แบบนี้มันควรจะสกปรก กลับไม่สกปรกเลยสักนิด ต้องให้เครดิตเจ้าของร้านทุกร้าน ที่เช้าๆ จะออกมาล้างหน้าร้านใครหน้าร้านมัน รับผิดชอบพื้นที่คนละนิด แต่เมื่อทุกคนทำหมด ภาพรวมคือสะอาดทุกอณูครับ

จากรีวิวที่ผ่านตาในเน็ทของนักท่องเที่ยวไทยจำนวนมาก ทำให้ผมตั้งใจเลือกไปกินที่ร้านนี้ เขาเรียกมันว่าราเมงหมี ซึ่งชื่อญี่ปุ่นมันก็หมีจริงๆ อยากจะดูซิว่าที่บอกอร่อยล้ำกันนัน มันเป็นอย่างไรกันแน่ ผมตาด่องลิ้นจรเข้จะมาทดสอบกันคืนนี้

ร้านเปิดเข้าไป ดูแล้วนั่งได้ไม่เกิน 8 คน เพราะมันแคบมาก นั่งเคาท์เตอร์ประจันหน้าเชฟราเมงกันเลย ดูเหมือนร้านนี้จะดังในหมู่ชาวไทย เพราะตอนผมเข้าไป มีคนไทยสองคนกำลังจ่ายเงินแล้วเดินออกมา ผมเลือกสั่งเมนูเด็ดเลย ซึ่งมันคือฮออกไกโดราเมง รวมของดีฮอกไกโดมาอยู่ในชามเดียว เดี๋ยวก่อน นี่มันอาหารพระหรือเปล่า รวมทุกสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน ปู หอยโฮตาเตะ เนย สับปะรด ข้าวโพด แถมมีสาหร่ายตราหมีของร้านด้วย มันคือความกลมกลืนของความแตกต่าง ที่ล้วนเป็นของดีของที่นี่ทั้งสิ้น น้ำซุปร้อนฉ่าลวกลิ้นจนชา กินเข้าไปจึงไม่สามารถรับรู้รสได้ดีนัก แต่ความสะเด่าในการควบรวมวัตถุดิบ และรูปพี่หมีบนสาหร่าย มันทำให้ผมกินจนหมด พร้อมทั้งคิดว่าแม่งคงอร่อยมั๊งเมื่ออิ่ม สรุปคือมันอาจจะอร่อยก็ได้ครับ

อันนี้แถมให้ชมหอยโฮตาเตะตัวเขื่องที่ให้มาด้วย เป็นหนึ่งในของดีของที่นี่เขาล่ะ

ปิดท้ายด้วยการไปบอกนาคนขายว่า 美味しかったです หรือแปลเป็นไทยว่า อร่อยจังครับน้า แล้วขอเขาถ่ายรูป ซึ่งจากที่ดูๆ ในของคนไทที่ยรีวิวมาผมเห็นเขาชอบถ่ายรูปน้าคนทำราเมงที่นี่กัน ผมก็เอาด้วย น่าฝืนยิ้มและชูสองมือให้ ก่อนจะจากลากันไป และอาจจะไม่ได้มากินที่อีกอีกแล้ว ก็มันมีอีก 16 ร้านนี่ครับ จากจุดนี้ผมก็เดินไปร้านโน้นร้านนี้ ร้านไหนปิดดึกก็ไป ร้านไหนปิดแล้วก้ไปไม่ได้ แล้วกลับไป Bic Camera ไม่ได้ไปซื้อกล้อง แต่ไปหาของเล่นต่อ จากนั้นเดินกลับไปโรงแรม นอนหลับ ไม่นานก็ตื่นขึ้นมาเพื่อนั่งรถไฟที่เพิ่งนั่งมาเมื่อยี่สิบกว่าชั่วโมงก่อนกลับไปสนามบิน ถึงสนามบินร้านยังไม่ค่อยเปิด โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์โดราเอมอนก็ไม่เปิด เพราะเที่ยวบินขากลับคือการบินไทยเที่ยวเช้าตรู่ ขณะที่ผมเช็คอิน ก็มีชาวไทยจำนวนมากบ่นกันระงม เพราะอีกสายการบินหนึ่งดันประกาศดีเลย์แบบไม่มีกำหนด แต่แล้วเสียงโวยวายก้หายไป เมื่อสายการบินนั้นมอบเงินให้คนละหมื่นเยนเป็นการขอโทษเพื่อไปช๊อปปิ้ง มาเซนต์รับแล้วเอาเงินไปไดเลย หารู้ไม่ว่าจริงๆ เคสแบบนี้ถ้าเอาไปโวยที่สายการบิน ตามกฏ FAA เขาต้องชดใช้เป็นเงินแพงกว่านี้เยอะนัก ว่าแล้วก็หยุดยุ่งเรื่องคนอื่น เดินขึ้นเครื่อง 787 ใหม่เอี่ยมบินกลับบ้านเราดีกว่าครับ เจอกันอีกที โตเกียวไปเช้าค่ำกลับครับ :)


Follow Us
  • Twitter Basic Black
  • Facebook Basic Black
  • Google+ Basic Black
Recent Posts
bottom of page