A Day and A Half in New York City
ถ้าคุณมีเวลาแค่วันครึ่งในมหานครนิวยอร์ก คุณจะทำอะไร? ผมไม่รู้หรอกครับ แต่สำหรับผมแล้ว นี่สิ่งที่ผมทำ เมื่อปลายเดือนมกราคมปีนี้ ที่ผมต้องไปทำงานที่ California แต่ต้องไปพบนักสะสมอูคูเลเล่รายใหญ่ ผู้ไม่ประสงค์จะออกนามที่ NYC เพื่อเจรจาขอรับอูคูเลเล่ล้ำค่าของเขามาไว้เมืองไทย (ช่วงนี้ไม่มีภาพประกอบ เพราะมันภารกิจลับเฉพาะ) เครื่องบินถึงประมาณ 11 โมงเช้า แต่คราวนี้กว่าจะฝ่าด่านตม.เข้าไปได้ก็ปาไปบ่ายหนึ่งแล้วครับ นี่ขนาดช่วงไม่มีเหตุการณ์อะไรนะครับ หากเป็นช่วงที่ผู้ก่อการร้าย active แบบนี้ ท่าทางจะยาวววว เมื่อผมผ่านด่านเข้าเมืองมาได้ ก็กระโดดขึ้น shuttle bus ชนิดหวานเย็นเข้าไปสู่ New York City รถหยุดไปตลอดทาง กว่าจะถึงก็ปาเข้าไปบ่าย 3 แล้ว เวลายิ่งน้อยๆ อยู่....
สำหรับการเดินทางนี้ไปคนเดียว ก็ต้องถ่ายเอง ทำเป็นโดนถ่ายไม่รู้ตัวเอง สไตล์ฮิปสเตอร์ ที่ตอนนี้ก็เชยไปซะแล้ว นี่แหละชีวิตคนเดินทางคนเดียวเหงาๆกับช่วงเวลาที่ท้องฟ้าและอากาศพาให้เหงาไปด้วย แต่ไม่หงอย เพราะที่นี่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของผม ทำไมนะหรือ? ก็ผมมาใช้ชีวิตตั้งแต่มัธยมปลายที่นี่น่ะสิ และแม้จะไปต่อมหาลัยที่บอสตัน ผมก็กลับมาบ่อยๆ เพราะมีญาติมีเพื่อนอยู่ ทว่าทริปนี้จะไม่ได้เจอคนคุ้นเคยเลย เจอแต่บุคคลลึกลับที่ผมนัดไว้ เพื่อภารกิจอูคูเลเล่สุดขอบฟ้า มันก็ต้องเดินทางกันไป ไปให้ไกลกว่าใครจะกล้าทำ เพื่ออูคูเลเล่ตัวเดียว
ภาพโฆษณาชวนไปเที่ยว New York ในสนามบินนาริตะ (ถ่ายตอนรอเปลี่ยนเครื่องที่นั่น) ที่ว่า Friendly อาจจะจริงในบางจังหวะ แต่เท่าที่ผมสัมผัส มหานครนี้ช่างวุ่นวายปะปนและแอบดาร์คในบางมุม ยิ่งถ้ามาตัวเดียวคนเดียว ความรู้สึกสนุกสนานจะหายไปเยอะ แทนที่ด้วยความระแวดระวัง หากเราหายไปใครจะสนใจ เมืองเฟรนด์ลี่นี้จะเป็นมิตรกับคนต่างด้าว จากประเทศที่หลายคนไม่แน่ใจว่าต่างจากไต้หวันอย่างไร ตอนผมเรียนที่นี่แม้มีครั้งหนึ่งบอกเขาว่ามาจากไทยแลนด์ ผ่านไปสองวันคนเดิมกลับถามว่ามาจากอิตาลีใช่ไหม หรือบางทีเพื่อนฝรั่งมาล้อเราด้วยการเลียนเสียงภาษาจีน ซึ่งมันไม่ใช่ แต่มันก็คิดว่าเหมือนๆ กัน บลาๆๆๆๆ นั่นมันเรื่องสมัยเด็กๆ ซึ่งย้อนมาเข้าหัวผมซะงั้น วันนี้ชักแก่แล้ว โลกเปลี่ยนไป แต่พูดกันตรงๆ ถึงจะบ่นอะไรไป สเน่ห์ของ NYC ที่ผมนิยามว่า "เปรี๊ยว สวย ดุ หรู เท่ แต่แอบถ่อยในบางมุม" ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ส่วนผสมนี้กระมัง ที่ทำให้ผมบอกเลยว่า ผมรักนิวยอร์ก แม้เธอจะไว้ใจไม่ได้นักก็เหอะ
คำคมของ Martin Luther King Jr. เจอระหว่างนั่งรถ shuttle bus ไปโรงแรม อ่านแล้วคิดว่ามันถูกต้องจริงๆ ผมแปลง่ายๆ ว่า เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน หรือไม่ก็ตายกันไปซะให้หมดอย่างพวกคนโง่เขลา อันนี้จริง ผมเองก็ผ่านศึกสงครามการค้ามาหลายปี มีแต่จะเสีย ไม่ค่อยก่อประโยชน์ในระยะยาว แต่ก็ห่ำหั่นกันไป หากทุกคนจับมือแล้วเดินไปด้วยกัน วงการอูคูเลเล่คงจะยิ่งใหญ่ สวยงามกว่าที่เป็น สงครามทำให้แค่เหลือผู้ชนะยืนอยู่บนยอดเขา และศพเกลื่อนไปทั่วแดนดิน ตกลงมันดีไหม?
หลัง เช็คอิน ผมกระโดดขึ้น Subway ที่ผมว่าดาร์คที่สุดในโลก ลงสถานี 50th Street ไปออก World Trade Center ครับ เดินหาทางไปอนุสรสถาน 9/11 โดยดูจากตำแหน่ง Freedom Tower ที่เขาสร้างมาแทน World Trade Center ที่โดนเครื่องบินชนไปจากเหตุกาณ์ 9/11เป็นหลัก แม้เคยมานับครั้งไม่ถ้วยสมัยที่ตรงนี้เป็นตึกแฝดเวิร์ดเทรด เซ็นเตอร์ แต่มาครั้งนี้อะไรๆ มันเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ หลงกันไปตามสูตรครับ อากาศหนาวติดลบทำให้เราต้องรีบหลงให้น้อยเข้าไว้ เพราะมือไม้มันแข็งไปหมดแล้ว
บรรากาศเหงาได้อีก แถวๆ ใกล้ๆ WTC site มีหิมะบางๆ โปรยลงมาบ้างประปราย
ไม่นานนัก ผมก็เดินมาถึง แม้หนทางจะเปลี่ยนไปจากสมัยผมเรียนที่นี่ เพราะเขาปรับปรุงตรงนี้ใหม่หลังจากที่มันพังทลายไป มีอาคารใหม่ มีทางเดินใหม่ แต่พอคลำทางถูกจนมาถึงจนได้ ผู้คนมากมายมาไว้อาลัยให้ผู้เคราะห์ร้ายนับพัน
ครั้งหนึ่งผมเคยยืนตรงนี้ แต่ข้างหลังมีตึกแฝด WTC ตั้งตระหง่านอยู่ โดยมีท้องฟ้าหม่นๆ ของหน้าหนาวเป็นฉากหลัง
ข้างในพิพิธภัณฑ์ 9/11 เขาให้ถ่ายรูปได้บางส่วน ที่เห็นทางซ้ายคือส่วนโครงสร้างของอาคารที่พังลงมา ส่วนแท่งเหล็กนั่นคือซากของตึก ที่นักดับเพลิงมาพ่นและแปะภาพเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์และเพื่อนที่จากไป จนเขาอนุรักษ์มันไว้จนเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่นี่ไป
บันได้ทางเดิน ที่เก็บรักษาเอาไว้ให้อยู่ในสถาพที่มันเป็นหลังตึกถล่ม บันไดนี้ได้ช่วยผู้รอดชีวิต ที่วิ่งหนีออกมาจากตึกได้หลายชีวิต — in New York, New York.
เนื่องจากผมเคยอยู่ที่นี่หลายปี มีความผูกพันธ์ส่วนตัวกับสถานที่นี้ เพราะเคยมาหลายครั้ง ทั้งมาเองและพาคนมา ครั้งหนึ่งพ่อผมมาแล้วมือบอนไปขูดชื่อตัวเองไว้บนยอด WTC (ห้ามเอาเยี่ยงอย่างนะครับ ไม่ดีเลยสิพับผ่า) โดยหวังจะให้ลูกหลานได้เห็นสืบไป แต่มันก็หลอมละลายหายไปกับตึกอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้แล้ว ส่วนผมชอบทานซุชิที่ชั้นใต้ดินของ WTC นี้ เป็นแค่ร้านขายในตู้กากๆ เล็กๆ แต่สมัยเด็กๆ ญาติผู้พี่เคยพาไปทานแล้วติดใจมากตลอด โตมาก็ไปทานเอง และนั่นคงเป็นแค่อดีตอันเอร็ดอร่อย ความทรงจำที่หายไปของผม คงไม่บัดซบเท่าความอดสูที่ต้องสูญเสียคนลูกชาย เหมือนที่อาจารย์วิชาทหารของผมได้เสียลูกของเขาไปจากเหตุการณ์นี้
ข้างในเขามีอะไรให้ชมมากมาย มีของต่างๆ ที่เก็บได้ จดหมาย บันทึกเสียง วิดิทัศน์ บลาๆๆๆ เพียบ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพเพื่อเป็นการเคารพผู้วายชนม์ ซึ่งเป็นเจ้าของสิ่งของ เสียง และภาพเหล่านั้น
เดินออกมาประมาณ 5 โมงเย็น อาหาศหนาวจับใจชนิดติดลบ คนก็น้อย มันคือการเดินทางในอารมณ์เหงาๆ ที่น่าตื่นเต้น
ผมกลับมาย่านที่พัก ซึ่งผมเลือกพักแถว Time Square เพื่อความสะดวกในการชมละครบรอดเวย์และเดินเล่นก่อนนอน เพราะที่นี่เขาสว่างทั้งคืน มาคนเดียว มาอยู่ที่คึกคัก ก็ทำให้เราคึกคักไปด้วยได้ ผมไปที่บู๊ท TKTS ที่ซื้อตั๋วบรอดเวย์ลดราคา เพื่อดูว่ามีอะไรราคาดีบ้าง เผื่อจะดูวันนี้ แล้วก็ได้มาเรื่องหนึ่ง จากนั้นกลับโรงแรม เพราะผมนัดพบคนสำคัญที่เล่าไว้ที่นั่น เป็นการพบสั้นๆ แต่นำไปสู่อะไรที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่มีทางจะนำมาเล่าได้มากกว่านี้ตลอดไป!!!!
หลังพบบุคคลลึกลับประมาณ 45 นาที ผมก็เดินออกมาสามบล๊อค กินพิซซ่าที่ร้าน Sbarro ร้านฟาสฟู๊ดอิตาเลี่ยนที่ผมคิดถึงรสชาดของพิซซ่าแผ่นเขื่อง กับพาสต้ามันๆ รอเวลา 2 ทุ่มเพื่อไปชมละครที่สอยบัตรถูกมา ทานเสร็จเวลายังมี เลยเดินเที่ยวไทมสแควร์ เข้าทุกร้านจนพอใจ ไปคนเดียวทำเวลาได้ดีเสมอ เมื่อหนำใจแล้วเดินผมก็เดินไปโรงละคร
คืนนี้ได้ตั๋ว Chicago มา ผมเดินมาชิลๆ พอมาถึงเห็นคนเข้าแถวรอเข้ากันเพียบ นี่ขนาดโชว์เก่าๆ ยังมีคนสนใจกันมากมายขนาดนี้ น่าเสียดายเรื่องหนึ่ง ตรงข้ามโรงละครนี้ มีอีกโรงละครแสดงเรื่อง Book of Mormon ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ ที่ได้รับความนิยมมาก ผมมาทราบที่หลังว่า คนเขียนเพลงคือคนเดียวกับคนที่ทำเพลงให้ AvenueQ บลอดเวย์เรื่องโปรดตลอดกาล แต่ในเมื่อมีตั๋วอันนี้แล้ว ก็กำไว้ให้ดีแล้วเดินไปดูมันหน่อยแล้วกัน
ผมเองมีอาการ jetlag ทำให้สมองคิดไปว่านี่คือเรื่อง Rent ซึ่งผมชอบเพลง Theme song "Season of Love" ของเรื่องนั้นมาก เลยคิดว่ามาฟังเพลงเดียวสดๆ ก็คุ้มแล้ว แต่ที่ไหนได้ นี่มัน Chicago ละครดีที่ผมดันไม่ชอบเป็นการส่วนตัว แต่เพิ่งมาถึงบางอ้อเอาก็ตอนเริ่มร้องเพลงแรก แล้วมันไม่ใช่เพลงที่คิด ผลคือผมหลับ สะดุ้งตื่นเป็นพักๆ เก้าอี้โรงละครแคบนั่งติดกันสนิท พอผมสะดุ้งทีคนข้างๆ ก็มองหน้าที พอจบครึ่งแรกเลยออกจากโรงละครไปนอน เพราะเกรงใจทุกๆ คนที่เอ็นจอย Chicago
ตื่นมาวันใหม่แต่ไก่โห่ แล้วออกเดินจาก 8th Ave ไปยัง 5 th Ave. ระหว่างทางผ่านแลนด์มาร์คหลายแห่ง ซึ่งก็เคยมาแล้วทั้งนั้น แต่ไม่ได้มานานก็เพลิน เหมือนได้มาเจอเพื่อนเก่าที่ไม่เคยรู้จักกัน ผมสดชื่นมากเช้านี้ ยิ่งอากาศเย็นแบบติดลบ ยิ่งสบายใหญ่ ผมเป็นคนชอบอากาศเย็นครับ ถ้าบ้านเราเย็นแบบนี้ ผมคงขยันเป็นสามสี่เท่าแน่ๆ
หน้าอาคาร Rockefeller เป็นศิลปะแบบ Art Deco ผมชอบเป็นการส่วนตัว เลยมาถ่ายไว้หน่อย บริเวณนี้มีตำรวจติดอาวุธหนักยืนเพียบ เขาคงระวังผู้ก่อการร้ายกันเป็นพิเศษ
ในหน้าหนาวบริเวณหน้า Rockefeller Center จะมีที่เล่นไอซ์สเก็ต ที่เห็นในภาพคือเช้ามาก แต่ก็ยังอุตส่าห์มีคนมาเล่นกัน ใครชอบดูหนังที่มีฉากหลังเป็นนิวยอร์กในช่วงหน้าหนาว ที่นี่น่าจะอยู่ในหนังเหล่านั้น โดยเฉพาะหนังรัก ต้องมีเลยครับ ส่วนผมแค่มานั่งตากอากาศหนาวๆ แล้วเดี๋ยวก็จะเดินไปแล้ว นานๆ ทีมาในที่ๆ ไม่ต้องรับโทรศัพท์ ไม่ต้องดูไลน์ ไม่ต้องเตรียมตัวไปทำอะไรเลย นอกจากเรื่องของเรา มันก็เข้าท่าเหมือนกัน ติดอย่างเดียวคิดถึงครอบครัว ถ้าใครโสดๆ มาคงจะระเริงกับเมืองนี้ได้อย่างสะเด่า แต่ผมขอมีห่วงนิดๆ แบบนี้ดีกว่า เพราะมันทำให้พอถึงวันกลับแล้ว เราไม่มีความอยากอยู่ต่อ มีแต่อยากจะรีบกลับบ้านไปหาครอบครัวของเรา
อีกมุมหนึ่ง เห็นธงชาติไทยไหมครับ มันไม่ค่อยกระพือแต่มีครับ
ผมเดิน ต่อเนื่องมาเพื่อขึ้น Subway ทางด้าน West Side เพื่อไปยัง Metropolitant Museum of Arts (The Met) สุดยอดพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่มีศิลปะล้ำค่าจากทั่วโลก หลายชิ้นที่เรียนก็แสดงอยู่ที่นี่ ผมมาหลายครั้งแล้ว แต่แม้มีแค่วันเดียวที่นิวยอร์ก ถ้าให้เลือก ผมก็ขอมาอีก เพราะผมไม่เบื่อศิลปะ พล่ามซะยาว ภาพที่เห็นคือ St. Patrick Cathedral โบสถ์คู้บ้านคู่เมืองนิวยอร์ก ผมเข้าไปข้างในสงบนิ่งสักพัก ก็ออกมา
เดินข้ามถนน ตึก Metlife ข้างหลัง คนเก่าๆ จะจำมันว่าตึก PANAM ส่วนรถแท็กซี่นิวยอร์กก็แลดูไม่คุ้นตา ไม่ใช่แบบใหญ่ๆ แต่เป็นพรีอุสไฮบริด นี่แสดงว่าผมก้าวมาสู่ความแก่แล้วแน่นอน อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป หากเราอยู่นานพอ
เดินลง subway มาออกแถว Upper West Side เดินชมตึกบราวน์สโตนไปเรื่อยๆ จนถึง Central Park
ใน Central Park คนไม่มี อากาศติดลบ น้ำในบึงกำลังค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง
ใน Central Park คนไม่มี อากาศติดลบ น้ำในบึงกำลังค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง
ออกจาก Central Park เดินย้อนกลับไปสู่ The MET
มาถึง The MET ก่อนเวลาพอสมควร มือเริ่มแข็ง ด้วยความหนาวของลมที่พัดมาเย็นเฉียบปานมีดโกน ผมก็ยืนรอเข้าแถวไปกับฝูงชน มีนักศึกษาสองคนอยู่หน้าผม ฟังเขาคุยกันทราบว่ามาทำรายงาน ยืนไปเรื่อยๆ พอแถวเริ่มยาว เพื่อนๆ ของนักศึกษาข้างหน้าทะยอยกันมาทีละคนๆ จนในที่สุดมันมากันทั้งห้อง ทำให้มีคนแซงคิวกันถึงประมาณสามสิบคน ส่วนคนจีนกลุ่มหนึ่ง ใส่สูทมากันเรียบร้อย เปิดเข้าไปก่อน พร้อมแสดงจดหมาย ได้เข้าไปก่อนเลยโดยไม่ต้องรอเปิด แปลกไม่เห็นมีใครบ่น ผมเองก็ไม่บ่น แต่หนาวจับใจ — in New York, New York.
พอเปิด ผมก็เข้ามาข้างใน พบว่าแถวที่ต่อไม่ได้เกี่ยว มันแค่ต่อว่าใครได้เข้าก่อน แต่เข้าไปแล้วก็ต้องไปต่อแถวซื้อตั๋วข้างในอยู่ดี ไม่เคยมาตอนเปิดเลยตั้งแต่เคยมาที่นี่มา!!! สำนวนอะไรงงชมัดยาดไหมครับ เอาเหอะ พอเข้ามาผมก็เริ่มเดินไปทางอียิปต์ ผมรู้ถ้าภรรยาผมมา เขาต้องมาที่นี่ก่อนแน่นอน
วิหาร Temple of Dendur ยกมาจากอียิปต์ทั้งหมด เดินเข้าไปดูเห็นผลงานของคนมือบอนเมื่อหนึ่งถึงสองศตวรรษที่แล้ว ขีดเขียนอยู่เต็มไปหมด จากความมักง่าย กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไป ส่วนใครจะมาสร้างประวัติศาสตร์ตอนนี้ คงต้องแลกด้วยการไปกินข้าวอเมริกันฟรีในคุกนะครับ
อีกมุม ห้องนี้ผมชอบ มนดูสงบและยิ่งใหญ่ดี พี่เจ้าหน้าที่ที่ยืนใส่สูทคงยืนแบบนี้ทุกวัน ถ้าเขาไม่อินกับมันมาก ก็คงเบื่อชิบหาย แต่ทำไงได้ มันคืองาน หลายสิ่งหลายอย่างที่เราอยากศึกษาอยากถามเขาด้วยความตื่นเต้น คือของตายในสมองของผู้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน ความอลังการของเราที่นานๆ ทีได้มาเยือน อาจเป็นความจำเจของชีวิตพี่คนนี้ก็ได้ ทว่าแกก็เล่าให้ฟังได้เป็นฉากๆ อย่างช่ำชอง ก่อนจะกลับไปยืนนิ่งๆ ต่อไป และ ต่อไป จนกว่าใครจะมาสะกอดแกอีก
เนื่องจากมาหลายทีแล้ว ผมเลยมาดูส่วนที่ไม่ค่อยสนใจมาดู นั่นคือโซนที่เขาเก็บของที่ไม่ได้แสดง ภาพและของล้ำค่าจำนวนมหาศาล ประเมินค่าคงไม่ได้ ถูกเก็บไว้ในที่เก็บของมันอย่างแน่นเอี้ยด เมื่อสมบัติมีมากกว่าที่โชว์ มันก็มาออกันอยู่ที่นี่ รอการหมุนเปลี่ยนสับกันออกแขก หรือไม่ก็อยู่มันตรงนี้ตลอดกาล
อีกมุมที่ชอบ ศิลปะจากสเปน เขาขนเอาที่กั้นคณะประสานเสียงจากโบสถ์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไว้ที่นี่ อายุอานามเก่ากว่าสมัยอยุธยาเราเสียอีก
นานาเกราะ นานาอัศวิน จุดนี้ผมชอบมากเช่นกัน มีเกราะจากหลายปนะเทศในยุโรป และเอเชีย ที่สำคัญไม่ใช่เกราะกากๆ แต่เป็นเกราะของกษัตริย์ ทุกครั้งที่ผมอ่าน Berserk การ์ตูนญี่ปุ่นที่ตัวละครล้วนแต่งตัวแบบนี้ ผมอดนึงถึงที่นี่ไม่ได้ คิดว่าคนเขียนน่าจะเคยมาเดินอยู่ตรงนี้เหมือนกัน
โซนกรีก แต่ละชิ้นอายุเป็นพันๆ ปี ผมเดินจนทั่วทุกอณู ปล่อยเวลาอันมีค่า ไปกับกิจกรรมที่ควรค่า แล้วจึงออกมา
ขากลับผมตั้งใจจะเดินจากพิพิธ ภัณฑ์ไปทาง 5th Ave แล้วไปต่อเรื่อยจนถึง Time Square เริ่มด้วยเดินไปใน Central Park พบกระรอกกำลังสร้างรัง เลยหยุดดูสักพักก่อนจะเดินต่อไป
บรรยากาศเหงาๆ เงียบๆ ใน Central Park ขณะถ่ายผมกำลังจะเดินลอดอุโมงค์ข้างหน้าไปโผล่แถวๆ สวนสัตว์
ผ่านสวนสัตว์ แวะดูแมวน้ำจากนอกรั้ว แล้วเดินต่อ (เย็นแล้ว สวนสัตว์กำลังจะปิดทำการแล้ว)
จาก Central Park ผ่านมาทางร้าน Apple Store แต่ไม่ได้ลงไป — in New York, New York.
ผมมาที่ F.A.O. แทน เพราะร้านของเล่นมันน่าสนใจสำหรับผม แล้วผมก็หลุดเข้าไปอยู่ในร้านของเล่นยักษ์ใหญ่นี้นานทีเดียว แต่ไม่ได้อะไรออกมาเลย นอกจากความอิ่มเอมใจ ที่ผมไม่มีอะไรออกมาฝากลูกชายผมเลย เพราะเขาไม่เล่นของเล่น ผมก็ไม่ได้สอนให้เขาไม่เล่น แต่เขาชอบอ่านหนังสือ หรือไม่ก็เล่นของจริง พวก gadget ต่างๆ นาๆ ที่ไม่ใช่ของเด็ก ส่วนผมนี่แหละคนชอบของเล่น หรือเขาเห็นผมเล่นพอแล้ว เลยไม่คิดจะเล่น?
ร้าน Uniqlo ที่ 5th Ave. NYC เขาตั้งใจให้เป็นร้านระดับ World Flagship มันยิ่งใหญ่ และแต่งเต็มที่ มีของแปลกๆ ที่ที่อื่นไม่มี เท่าที่ผมได้ไปมาหลายเมือง หลายประเทศ สาขานี้เจ๋งเป้งสุดครับ ใครเป็นแฟนแบรนด์นี้ต้องมาหากมา NYC ที่สำคัญเขามีขนาดใหญ่ๆ ด้วย ซึ่งหาไม่ได้ในไทย
เดินกลับมาถึง Rockefeller เจอ Atlas รูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของอาคารนี้ — in New York, New York.
แล้วผมก็มาถึง Time Square อาการ Jetlag ทำให้อยากนอน แต่ขอเดินสักพัก แล้วไปนอนหนึ่งชั่วโมงก่อนจะมาดูบรอดเวย์ Aladin เรื่องใหม่ที่เพิ่งเปิดแสดง ตั๋วค่อนข้างฮ็อต ผมเลยจองล่วงหน้ามาจากเมืองไทย
แวะร้าน Rudy's ร้านกีตาร์ที่ผมว่าขลังที่สุดใน NYC ณ 48th Street ที่ตรงนี้ แต่ก่อนมีแต่ร้านเครื่องดนตรี ปัจจุบันเหลือแต่เขานี่แหละยังยืนหยัดอยู่ได้
เดินเรื่อยเปื่อย เก็บภาพแสงสี แต่เสียดายเก็บเสียงมาลงไม่ได้ Nasdaq ที่ถ้าเป็นสมัยก่อนตอนทำงานบริษัทหลักทรัพย์ ผมคงเซลฟี่คู่กับมันไปแล้ว ช่วงนั้นช่างตลก ผมคิดไปว่าผมจะสามารถเป็นพ่อมดทางการเงินได้ อย่างน้อยก็เหมือนๆ รุ่นพี่ในบริษัท ที่ทำเงินได้มหาศาลด้วยปลายนิ้ว แต่พอทำจริงๆ แม้เราจะมีความเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง ถ้าดวงไม่ดี เส้นสายไม่ถูกที่ถูกทาง มันก็ได้แค่ดูเขาร่ำรวยไปวันๆ สู้ออกมาทำอะไรที่ชอบแบบทุกวันนี้ไม่ได้ สิ่งที่ทำตอนนี้แม้ถ้ากิดเมันขาดทุนด้านเงินผมยังกำไรชีวิตเลย คือเขียนเท่ๆ แค่นี้แหละ แต่จริงๆ ขอกำไรเงินก็ดี จะได้ทำกันไปตลอดกาลให้บานตะไท
จากภาพที่แล้ว ทำขวาหันก็เจอภาพนี้
เดินย้อนกลับมาทางโรงแรมเพื่อเก็บภาพก่อนจะไปนอนเอาแรง เพราะมันไม่ไหวจริงๆ เวลาชีวิตยังคงเป็นเวลาไทย ซึ่งต่างจากนิวยอร์กถึง 12 ชั่วโมง เช้าเป็นค่ำ ค่ำเป็นเช้า ทำให้ผมเป็นครึ่งคนครึ่งซอมบี้ แต่ด้วยความตื่นตาตื่นใจ แปลกที่แปลกทาง ก็พอจะถูไถไปได้จนถึงจุดนี้ ฟิล์วกำลังจะขาดครับ— in New York, New York.
กลับหลังหันจากภาพที่แล้ว จะเจอภาพนี้ บรรยากาศของ Time Square ที่ใครๆ มาก็ถ่ายภาพคล้ายๆ กันนี้เอาไว้ — in New York, New York.
ผมกลับไปนอนที่โรงแรม โดยนึกว่า Aladin จะเริ่ม 2 ทุ่มเหมือนที่ Chicago เริ่มแสดงคืนก่อน แต่ที่ไหนได้ มันเริ่มตั้งแต่ทุ่มครึ่ง ผมตั้งนาฬิกาปลุกมาหนึ่งทุ่มครึ่งเหมือนกัน ตื่นมาดูที่ตั๋วร้องจ๊าก แล้วรีบกระโดดฝ่าความหนาวจาก 49th Street ไป 42nd street ซึ่งนับได้ 8 บล๊อค จากนั้นอีกหนึ่งบล็อคเข้าไปทางซ้าย รวม 10 บล๊อคก็ถึงแบบพลาดตอนเปิดเรื่องไปเป็นที่เรียบร้อย แต่หลังจากนั้น เขาก็ให้เข้าไปนั่งชม ตั๋วราคาบัตรหกพันกว่าบาทบนเก้าอี้แสนแคบเล็กกว่าก้น ยังงงว่าฝรั่งข้างๆ ตัวใหญ่สองเท่าผม มันนั่งได้อย่างไรกัน แต่การแสดงและเสียงเพลงบนเวที มันยอดเยี่ยมมาก จนลืมความคับก้นไปจนหมดสิ้น สองชั่วโมงผ่านไป จบลงด้วยความฟิน มานิวยอร์กครั้งนี้ ผมพอใจแล้ว — in New York, New York.
เดินกลับโรงแรม วันรุ่งขึ้นต้องพุ่งไปสนามบินแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางไปอีกด้านหนึ่งของทวีป — in New York, New York
และนี่คือหนึ่งวันครึ่งของผมใน NYC อาจจะไม่มีอะไรที่คุณสนใจเลย แต่สำหรับผม ทริปสั้นๆ นี้ คือทริปที่เติมเต็มความคิดถึงนิวยอร์ก ป้อนความสุนทรีย์ทางศิลปะ ท่ามกลางอากาศหนาวสุดขั้ว สำหรับผมแล้วนับเป็นเวลาที่ช่างฟินเฟว่อร์ครับ จบ