top of page

ญี่ปุ่นคืนเดียว โอกินาวา

ไปโอกินาวาครั้งนี้ จริงๆ แล้วมันสองคืนครับ วันแรกไปถึงเย็นๆ นอน แล้วอีกวันอยู่เต็มวัน วันต่อมากลับ ที่ผมไปนี่ไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปตามคำชวนของเพื่อน เมื่อเขาชวน เราก็ไปตามคำเชิญ อย่างกะไปหาเพื่อนแถวพระโขนง แต่ในโลกอูคูเลเล่เราไม่ได้วัดระยะทางที่ความไกล มันอยู่ที่ใจครับ

ภาพข้างบนคือปราสาท Shuri ซึ่งจะไปเป็นที่สุดท้าย แต่มันสวยดี ผมเลยเอามาโชว์ก่อนเลย ทริปนี้เดินทางไกล เพราะแม้โอกินาวาจะอยู่ไม่ไกลจากไทยมากนัก แต่ว่ามันไม่มีเที่ยวบินตรงเลย ครั้นจะถ่อไปญี่ปุ่น ก็ใช้เวลามากไป ผมเลยเลือกไปเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง และใช้สายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ ขาไปมีความลำบากนิดหน่อย เพราะเที่ยวบินที่ออกจากไทย มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเต็มลำ ปัญหาคือพวกท่านไม่นิยมต่อคิวแบบปกติ แต่จะออกันแบบเนื้อแนบเนื้อ จนเราต้องยอมให้เขาไปก่อน เป็นแบบนี้ทั้งขาขึ้นและลง แต่เที่ยวที่ออกจากฮ่องกง ผู้โดยสารเป็นคนฮ่องกงเสียส่วนมาก เลยรู้สึกได้ถึงความมีระเบียบอย่างเห็นได้ชัด บินไปไม่นานก็ถึงสนามบินโอกินาวา ที่นี่แปลก สนามบินระหว่างประเทศเขาเก่าและเล็กมาก ส่วนสนามบินในประเทศนี่ทันสมัยใหญ่โตไปเลยครับ เพราะเครื่องส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น ว่ากันว่าชาวญี่ปุ่นเวลาไปทะเลกิ๊บเก๋ ถ้าแบบไม่แพงนักไปโอกินาวา ถ้ากลางๆ ไปกวม และถ้าแบบจัดหนักหน่อยก็ไปฮาวาย

พอออกมาได้ ต้องเดินจากสนามบินระหว่างประเทศ มาขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีในประเทศ การเดินทางง่ายครับ เขามีอยู่สายเดียว วิ่งไปวิ่งมาไปกลับ นั่งไม่นานก็ถึงโรงแรม ซึ่งผมเลือกพักใกล้ๆ ถนน Kukusai ซึ่งเป็นถนนสายสีสันของที่นี่ (แต่คนที่นี่บอก ที่นี่คนท้องถิ่นเขาไม่มากัน เพราะสำหรับนักท่องเที่ยว) มีร้านรวง ขายของที่ระลึก ขายอาหารมากมาย เดินเพลินครับ

นี่คือภาพแรกที่เห็นเมื่อลงจากรถไฟฟ้าครับ

กัน ที่มาประจำฐานทัพที่นี่บรรยากาศร้านค้าจ่างๆ บนถนน Kokusai มีตั้งแต่ร้านขายของที่ระลึก ไปจนถึงร้านขายของสารพัดอย่าง Donquixote ที่ผมโปรดปราน เดินที่นี่จะเจอกับทหารอเมริกัน ที่มาประจำในฐานทัพที่นี่เดินกันกล้ามโตขวักไขว่ ที่เขาต้องมีฐานทัพ ก็เพราะตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นี่เป็นสมรภูมิโหด เพราะตั้งอยู่ในจุดสำคัญ เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เพอร์เฟ็คในการใช้ตั้งหลักโจมตีญี่ปุ่น พอแพ้สงคราม ญี่ปุ่นจึงต้องให้อเมริกามาตั้งฐานทัพไว้ที่นี่ ทำให้คนที่ๆ ใกล้ชิดกับฝรั่ง จนบางคนพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว นอกจากนั้นยังมีกระประยุกต์อาหารตะวันตกมาเป็นอาหารโอกินาวา เช่น ทาโก้ไรซ์ เป็นต้น วันแรกที่มาถึง ผมมาถึงเย็นๆ ก็เดินมันแถวนี้จนหมดวันครับ (จริงๆ มีนั่งรถไฟไป AEON ด้วยนิสนึง)

วันต่อมา ผมดูจากกูเกิลแล้ว สถานที่ๆ จะไปมันห่างออกไปแค่ 2 ก.ม. ผมเลยว่าจะเดินไป ส่วนนี่โฉมหน้ารถไฟฟ้าของเขาครับ รถก็เล็ก รถไฟก็เล็ก น่ารักไปหมด

ที่นี่เข้าท่า เขามีการออกเดินเก็บขยะกัน ผมสังเกตุแล้วเขามีทุกวัย และเก็บกันจริงจัง ไม่ได้สักแต่ว่าเก็บ อาจจะเป็นอาสาสมัคร หรือเป็นเวรเก็บขยะของกลุ่มคนกลุ่มนี้ ผมเดินดูอยู่ห่างๆ เห็นเขาเดินเรียงหน้ากระดาน แล้วเก็บไปทีละก้าว จากนั้นก็แยกกันเก็บ เก็บแบบไม่มีคุยกันเจี๊ยวจ้าว เรียกว่าทำงานก็คือทำงาน สุดยอดเลยครับ เมืองถึงสะอาดนัก

เส้นทางสองกิโลเมตร มีแต่ผมเดินอยู่คนเดียว ไม่มีคนอื่นเดินเลย สองข้างทางตอนแรกเป็นบ้านคน พอไปสักพักเป็นสุสานของทหารเรือจากเรือรบลำที่ล่มไปสมัยสงครามโลก มีศาลเจ้าด้วย บรรยากาศออกวังเวงพิกล ผมเลยลองเดินออกนอกเส้นทางไปสำรวจ ก็ได้ภาพข้างบนนี้มาครับ ผมเดินลึกเข้าไปจนเจอทางที่ดูไม่น่าเดินเข้าไป (ภาพที่บันไดมันพังๆ) ก็เลยเดินต่อไป พอมาทางนี้ฟุตปาธเริ่มเล็กตามภาพ อึดใจหนึ่งก็มาถึงริมทะเลบริเวณงาน ลืมบอกไปว่าอากาศหนาวทีเดียว ประมาณ 14 องศาเซลเซียส คนจัดงานกะว่ามันจะอากาศดี แต่มันดันมีทั้งฝนตก ทั้งความหนาว เป็นงานกลางแจ้งที่หนาวที่สุดที่เคยไปครับ อ้อ...ผมลืมบอกไปว่า ผมไปงาน Ukulele Picnic Okinawa ครับ งานนี้ลองจัดเป็นครั้งแรก และเขาก็ไม่จัดอีกเลย คาดว่าเพราะอากาศไม่เป็นใจ

นี่เลยครับคนชวนผม เขาคือพี่น้องแห่ง KoAloha อูคูเลเล่แบรนด์ใหญ่จากฮาวาย ขนทั้งศิลปินและอูคูเลเล่มาแสดงในงานเพียบครับ

ในงานมีขายของแนวฮาวายๆ มีตัวมัสคอตของโอกินาวา มีคนแต่งตัวประหลาด (ขอโทษที่หัวเขาขาด ผมก็แก้ไม่เป็น) เลียนแบบให้เหมือนงานอูคูเลเล่ที่ฮาวายและญี่ปุ่นครับ

การแสดงบนเวที ที่นี่นอกจากมีอูคูเลเล่แล้ว ยังมี Sanshin เครื่องดนตรีของโอกินาวา มันจะคล้ายๆ Shamisen ของญี่ปุ่น แต่ไม่ใช่ เสียงมันคล้ายๆ ซอ เล่นดีดเป็นโน๊ตก็ได้ เอามาประยุกต์สตรัมก็มี ในงานนี้เขาเอายอดฝีมือ Sanshin มาเล่นให้ดูเลย ผมเลยเห็นความเจ๋งของเครื่องดนตรีที่คิดว่าจะน่าเบื่อ ผมเดินวนไปวนมาตรงร้านขายหลายที แต่ในที่สุดก็ห้ามใจไม่ให้ซื้อมาได้ เหตุผลคือผมอยากโฟกัสกับอูคูเลเล่มากกว่า นี่มันเป็นสัตว์ประหลาดคนละแบบ ถ้าอินเดี๋ยวไม่มีเวลาให้อูคูเลเล่ครับ

แม้จะมีชื่องานว่าอูคูเลเล่ปิ๊กนิค แต่ที่มีเยอะที่สุดคือฮูล่แดนซืครับ อีนฮูล่าแดนซ์นี้มีที่มาจากฮาวาย แต่เท่าที่ผมคลุกคลีมา ที่ญี่ปุ่นเขาเอามาพัฒนาให้ออกแนวสมัยใหม่ น่าดูชมกว่า และที่สำคัญ สาวๆ ญี่ปุ่นเขาชอบเต้นฮูล่ากันมากครับ ผมเก็บภาพมาเพียบ มีน่าจะเป็นสามสิบทีมที่มาครับ มองไปมีแต่สาวฮูล่าเต็มไปหมด

เป็นไงครับ ฮูล่าแบบญี่ปุ่นๆ บางทีเขาเอาเพลงสมัยใหม่มาใช้ประกอบการแสดง ดูสนุกกว่าของดั้งเดิม ที่ญี่ปุ่นผมว่าฮูล่านี่ฮิตกว่าอูคูเลเล่เสียอีก เป็นกิจกรรมที่สาวๆ ทำได้ง่ายกว่าการหัดเล่นอูคูเลเล่เยอะ

ท้องฟ้าวันนี้หม่นๆ เพราะเมฆเยอะมาก แถมอากาศหนาวเหน็บ แต่เขาก็ใส่ชุดอย่างแบบนี้กัน เดี๋ยวดูคนดูนะครับ การแต่งตัวคนดูนะครับ ต่างกันอย่างกะอยู่คนละทวีป

ผู้ชมครับ ใส่เสื้อหนาวรัดกุมกันมาเลย คนดูจะเยอะกว่านี้หากอากาศดีกว่านี้ วันนี้ทั้งหนาวและฝนตก คนเลยไม่เยอะอย่างที่คาดไว้ แต่แค่คนแสดงก็น่าจะหลายร้อยแล้วครับ แต่เขาไม่มาดูตรงนี้ จะยืนอยู่หลังเวที

ตอนใกล้ช่วงพีคของงาน ฝนเทลงมาห่าใหญ่ เขาเลยแสดงบนเวทีไม่ได้ เพราะกลัวไฟจะช๊อต ต้องหยุดชั่วคราว ผ่านไปนานยังไม่มีทีท่าจะหยุดเลยต้องย้านกันเข้ามาเล่นในบู๊ทของ KoAloha แทน เพราะมีหลังคา แต่คนดูก็ยังมุงกันท่ามกลางสายฝน โชคดีว่าฝนตกเบาลงตอนหลัง มีการแสดงของศิลปินเอกอูคูเลเล่ Herb Ohta Jr ตามด้วย Konishiki ศิลปินอูคูเลเล่ ที่เคยเป็นแชมป์ซูโม่มาก่อน ด้วยความที่เคยเป็นจ้าวแห่งซูโม่ ทำให้คนรักเขามาก และดังมาก คนมารอดูเขาร้องเพลงฮาวายกันเพียบตามรูปครับ พอโชว์นี้เสร็จ จริงๆ ต้องไปกินข้าวต่อ แต่เขาไปกินกันไกล ผมขี้เกียจนั่งแท็กซี่ เลยชิ่งไปซุเปอร์มาร์เก็ต ซื้ออะไรง่ายๆ มากินที่โณงแรมอย่างชิล เพราะวันรุ่งขึ้นผมมีโปรแกรมจะใช้เวลาให้คุ้มค่า ออกแต่ไก่โห่ เพื่อไปเยือนปราสาท Shuri ก่อนกลับมาขึ้นเครื่องตอนหลังเที่ยง

ผมนั่งรถไฟไปสุดสาย แต่ยังไม่ถึง ต้องเดินต่ออีกเป็นกิโล แต่เป็นทางเดินง่ายๆ ข้างทางมีบ้านคล้ายๆ แบบนี้ ซึ่งดูมีเอกลักษณ์ดี ต่างจากบ้านที่ญี่ปุ่นไปอีกแบบ จริงๆ ผมแค่เดินก็สนุกแล้ว เพราะบ้านเมืองเขาแปลกตาไปหมด

อันนี้ร้านอาหาร มันเช้าไปเขาเลยยังไม่เปิด แต่ผมก็พอสัมผัสความชิลได้ครับ ร้านนี้ขาเดินกลับก็ยังไม่เปิดเลย ผมมาเช้าไปจริงๆ 555

ถึงแล้วครับประตูเข้าปราสาท Shuri ปราสาทที่เคยเป็นที่ประทับของราชาแห่งฮาณาจักรริวกิว ซึ่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นภายใต้ชื่อโอกินาวา ซึ่งในสงครามโลกครั้งที่สอง ในการปิดฉากสงครามมิดเวย์ ที่แห่งนี้คือสมรภูมิเลือด ที่มีทั้งทหารอเมริกัน และทหารญี่ปุ่น พ่วงประชนชนคนโอกินาว่า ตายเกลื่อนแดนดิน ปราสาทก็โดนทำลายจนเป็นจุลย์ แทบไม่เหลืออะไรเลย ส่วนที่เราเห็นกันนี้ น่าจะเป็นของเก่าที่หลงเหลือ ส่วนตัวปราสาทนั้นมันโดนทำลานหายเกลี้ยงไปแล้ว แต่เขาสร้างอันใหม่ขึ้นมาแทน

ที่แห่งนี้ไม่ใช่เล็กๆ เพราะเป็นระดับมหาราชวัง กว่าจะถึงปราสาทด้านในนี่เดินกันเหนื่อย มีหลายชั้นเลยครับ แต่ปราสาทที่ว่าก็ไม่ได้เป็นปราสาทญี่ปุ่นอย่างที่เราคุ้นเคย แต่เป็นปราสาทเตี้ยๆ สีแดง สวยไปอีกแบบครับ

เดินมาไกลและสูงแค่ไหนดูกันครับ นี่ถ่ายจากจุดที่ผมกำลังจะเดินเข้าด้านในสุดของปราสาทแล้วครับ

ถึงแล้วครับปราสาท Shuri ของดีที่คนมาโอกินาว่าต้องมาเยือนให้ได้ และผมก็มาถึงแล้ว แม้จะมาแบบงงก็ตาม บอกตามตรงว่าทริปนี้ไม่ได้ทำการบ้านอะไร เพราะมาแค่ตามที่เขาชวน ชวนแล้วก็มาเลย พอมาเลยก็เลยต้องเที่ยวเอาดาบหน้า แบบไม่มีแพลนแบบนี้ครับ

เชิญคลิ๊กเข้าไปชมภาพใหญ่นะครับ ปราสาท Shuri ของใหม่สร้างบนซากเดิมครับ เขารวบรวมข้อมูลจากรูปภาพเก่าๆ และจากคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อน เพื่อให้ได้สร้างออกมาให้เหมือนของเดิมที่สุดครับ ส่วนภาพข้างล่างคือซากเดิม ที่เขาทำพื้นใสไว้ให้มองลงไปดู

มันออกจะมืดๆ นะครับ เพราะเป็นซากที่อยู่ใต้ดิน เป็นของเดิมที่อายุหลายร้อยปี โดนถล่มจนเหลือแค่นี้

ข้างในเป็นแบบนี้ เขาให้เราเดินชมได้บางส่วน ในมุมมองผม ผมว่าข้างในไม่ค่อยมีอะไร ที่อลังการคือระหว่างการเดินเข้ามาในปราสาท ผ่านป้อมปราการหลายชั้น ซึ่งน่าจะเป็นของเดิม มันรู้สึกได้ถึงความลำบากในการบุกเข้ามาถึงแกนใน ถ้าเป็นสมัยโบราณน่าจะตีเข้ามายาก แต่ถ้ามีอาวุธสมัยใหม่ มีเครื่องบินทิ้งระเบิด คงเป็นเรื่องง่ายๆ ผมจบตรงนี้เลยนะครับ พอดีทริปนี้ ผมก็ถ่ายไว้แค่นี้ เพราะหลังจากนี้ผมแว่บไปเดินดู Duty Free นิดหน่อย และกะจะไปพิพิธภัณฑ์แต่ว่ามันปิดวันจันทร์ เลยกลับไปโรงแรม รับกระเป๋าแล้วไปเดินเล่นในสนามบินในประเทศ ถึงเวลาจึงเดินลากกระเป๋าไปสนามบินระหว่างประเทศซึ่งโทรมและไม่มีอะไร เป็นอันจบทริปสั้นๆ สู่ โอกินาว่า ที่ๆ จริงๆ ควรได้ไปเที่ยวอะไรสวยงามกว่านี้เยอะ แต่ก็เป็นอีกมุมหนึ่งนะครับ สำหรับคนที่ไม่อยากไปไหนไกล ไม่ขับรถ และมาสั้นๆ (แล้วจะมาทำไม?)


Follow Us
  • Twitter Basic Black
  • Facebook Basic Black
  • Google+ Basic Black
Recent Posts
bottom of page