top of page

Mola mola Sunshine! 2016


ผ่านมาแล้วน่าจะ 8 ปี จากเมื่อครั้งที่ได้เริ่มทำโปรเจคดนตรี Mola mola Sunshine! รอบแรก สมัยนั้นผมไม่ค่อยรู้จักใครนัก ก็ได้ โตน โซฟา โปรดิวเซอร์ฝีมือดี ที่ทำหนังสือร่วมกันอยู่ มาช่วยจัดการโปรดิวซ์ให้โดยไม่เอาเงินสักบาท เพลงออกมาก็ดีตามคาด แถมมีติดชาร์ตแบบเข้าท่า คนได้ยินเพลงเยอะ วัดความสำเร็จได้จากการที่ของเถื่อนเอาไปทำขาย แต่แล้วโปรเจคก็ล้มพับไปเพราะไปล่มที่ค่าย เลยออกเองแบบทำแล้วก็ออกๆ ไป ไม่รู้จะโปรโมทอย่างไร เพราะช่วงนั้นการใช้งานโซเชียลเน็ทเวิร์คยังไม่ยิ่งใหญ่เหมือนทุกวันนี้ ประกอบกับช่วงที่ออกซีดีปี 2010 ผมวุ่นกับการก่อร่างสร้างสังคมอูคูเลเล่ในไทย ทำให้ผมแค่ออกแผ่นมาขาย ทำมาแค่พันแผ่น หมดแล้วหมดเลย เอาไปวางที่ร้านซีดีใกล้ๆ ร้นอูคูเลเล่ผมเองที่สยาม ไม่นานก็หมดเกลี้ยง ค่าแผ่นบางส่วนยังไม่ได้ไปรับจากร้านที่ฝากขายเลยด้วยซ้ำ เพราะร้านซีดีปิดกิจการไปโดยเราไม่ทันเห็น (ภาพประกอบคือเมื่อวานนี้ กลับไปเข้าห้องอัดอีกครั้ง ในภาพมี ตี้เลิฟอีส มือเบสประจำโปรเจค, รักสมัน ผู้ประสารงานค่ายดิงดอง, ผมเอง คนทำโมลาโมล่า, พี่โหน่ง ซาวด์เอ็นจิเนียร์อาวุโส และ โน๊ต ซาวด์เอ็นจิเนียร์)

เพลงที่จะนำมาทำเป็นเพลงแรก ด้วยระยะเวลาอันสั้นและข้อแม้ที่ต้องออกมาดี ผมเลยเลือกที่จะเอาเพลงที่ดีที่สุดของผม ที่มีคนได้รู้จักมันไม่เยอะเพราะผมไม่เคยดัง เอามาทำใหม่ให้มันทรงเครื่องกว่าเดิมดีกว่า คราวนีคนน่าจะได้ฟังมันเยอะกว่าเดิม เพราะโลกโซเชียลมันกว้างไกล ส่วนจะได้ผลตามที่หวังไหมก็ไปลุ้นเอา แต่ที่ได้แน่ๆ คือผมได้กลับมาทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะกลับมาทำแล้ว (จริงๆ กะจะให้ศิลปินอื่นทำ ผมบริหารอย่างเดียว แต่เรื่องมันยาว อันนี้ได้อีกตอน:)

SLXLM​ ขอท้าวความเล็กน้อย ถึงอันแรงบันดาลใจที่จะมาทำโปรเจค Mola mola ของผม เผื่อคนไม่รู้จักมาอ่าน จะได้รู้ลางๆ โปรเจคนี้มันเกิดจากผมชอบแนวเพลงของ Soul After Six ชอบมากจนในที่สุดก็ไปหาฟังเพลง Soul Funk Acid Jazz ของฝรั่งทั้งจากยุค 70's 80's 90's และปัจจุบันมาฟังอย่างบ้าคลั่ง จนในที่สุดก็ทำมันเองซะเลย ซึ่งตั้งแต่สมัยผมทำ Spinnacle โปรเจคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ก็พยายามยึดแนวทางที่ชอบนี้แล้ว แต่ฝีมือและบารมียังไม่มี จนมาถึงการทำ Mola mola ครั้งก่อน เริ่มมีทีเด็ด มีเพื่อนนักดนตรีเก่งๆ มีโปรดิวเซอร์ดี ทีมงานดีมาร่วมงาน ทำให้มันออกมาดีทีเดียว ทว่าเกิดไปไม่ถึงฝั่งดั่งที่เกริ่นไปแล้ว ถ้าจะให้เล่าต้องเขียนอีกตอนเพราะยาว การมาทำ Mola mola อีกครั้งในครั้งนี้ ก็เกิดจากสิ่งที่เรียกว่าชะตาชีวิตจริงๆ ซึ่งถ้าจะเล่าก็ต้องเขียนอีกตอนเช่นกัน แต่สรุปง่ายๆ ได้ว่า มีนายทุนท่านหนึ่ง เดิมพันกับผมให้ทำเพลงให้น้องปุ้มร้อง แล้วหากนายทุนท่านนั้นได้รับรู้ความดีงามของเพลงนั้นได้เอง ผมจะได้ทุนมาทำค่ายเพลง ผลิตศิลปินดีๆ ออกมาประดับวงการเพลง ไม่ใช่แค่เมืองไทย แต่ทั่วโลกไปเลย และนั่นคือที่มาของการมาใหม่ของผม และในเมื่อเราชอบแนวของ Soul After Six ผมเรียบเรียงอย่างไรคงไม่เหมือน ผมแต่งแค่เนื้อร้อง ทำนอง ก็พอ แล้วผมได้รับเกียรติจากพี่ปิงปอง Soul After Six มาเรียบเรียงดนตรีให้เองเลย แบบนี้แหละเพลงจะออกมาในแนวทางที่ผมเดินตามแน่นอน

ในการอัดครั้งนี้ ผมเลือกใช้ห้องอัดของเพื่อน เพราะคุ้นเคยกับทีมงานห้องอัดดี ส่วนเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยอยู่บ้าน ตอนที่ไปอัดนี่เห็นเขาไปอเมริกาสามเดือนหรือไงนี่ ผมก็จัดแจงจองเวลากับตาโน๊ต ผู้เป็นซาวด์เอ็นจิเนียร์ห้องเรียบร้อง เพลงแรกจะใช้สองคิว คิวละ 8 ชั่วโมง โดยจะไปอัดกันวันที่ 17 และ 20 เมษายน 2559 ขณะที่เขียนอยู่นี้ผมได้ไปมาแล้วครั้งนึง ส่วนครั้งต่อไปอีกสองวันจะไปสานต่อครับ

สำหรับทีมงานในครั้งนี้ หรือจะเป็นแค่เพลงนี้หรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้ ณ เวลานี้ ซาวด์เอ็นจิเนียร์รุ่นใหญ่ เราได้พี่โหน่ง แห่ง โคโค่นัท ซาวด์ มาช่วย ท่านผู้นี้คือคนที่ฝึกผมสมัยผมฝึกงานในสตูดิโอที่เบเกอรี่มิวสิคเมื่อครั้งจบกลับมาจากอเมริกาใหม่ๆ นับนิ้วมือ บวกนิ้วตีน ขาดนิ้วเดียวครบ 20 ปีพอดีที่รู้จักกัน แก่ชิบเป๋งจริงๆผม ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมอยากเป็นซาวด์เอ็นจิเนียร์ กำลังจะเรียนต่อที่ Berklee College of Music สอบเข้าได้แล้ว เรียน 5 Weeks คอร์สไปแล้ว แต่ได้มีโอกาสมาคุยกับพี่สุกี้ แห่งเบเกอรี่มิวสิค และได้รับเกียรติให้มาฝึกงานเป็นซาวด์เอ็นจิเนียร์โดยไม่ต้องไปเรียนให้เสียเวลา ผมก็เลยไม่เรียนแล้วหอบกระเป๋ากลับมาเมืองไทย แต่ด้วยความที่เป็นคนกลางวัน แต่งานส่วนมากจะอัดเสียงกันกลางคืน ผ่านไปสักพักผมจึงพิจารณาตัวเองว่าไม่เหมาะกับงานนี้ แล้งชิ่งออกมาแบบไม่ได้ลา หายไปดื้อๆ นับเป็นความถ่อยของผมจริงๆ ซึ่งผมก็ว่าเลว แต่ตอนนั้นสมองมันคนละเบอร์กับตอนนี้ คิดกลับไปก็เสียใจในการกระทำ ว๊าปกลับมายุคปัจจุบัน ผมได้มาพบกับพี่โหน่งอีกทีตอนไหนจำไม่ได้ แต่เจอกันเรื่องงานเสียงนี่แหละ แล้วในที่สุดผมก็ได้ร่วมงานกับพี่เขา ในการทำ Thailand Ukulele Festival ตั้งแต่สมัยงานใหญ่โคตรๆ จนถึงตอนที่จัดกันแบบ minimalist มาวันนี้บอกจะทำเพลง พี่เขาเลยอาสามาดูแลความเรียบร้อยให้ และเมื่ออัดเสร็จก็จะนำไป mixing และ mastering ให้ด้วย ซึ่งผมก็เชื่อมั่นว่าซาวด์มันต้องออกมาดีแน่ เพราะหูระดับนี้ธรรมดาที่ไหน ที่สำคัญชื่อพี่เขาจะขึ้นในเครดิตด้วย มันก็ต้องออกมาดีเด้

พี่โหน่งมาดูการวางไมค์กลองและเพอร์คัสชั่นให้อย่างละเอียด อีกคนที่เห็นคือโน๊ต ซึ่งเป็นซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่ผมคุ้นเคยดี เขามาฝึกงานและทำงานที่เบเกอรี่เหมือนกัน แต่หลังผมออก และอยู่ยาวจนเป็นตัวเก๋าเลย ผมน่าจะเป็นคนเดียวที่มาแบบน้ำจิ้ม จนไม่มีใครทันสังเกตุด้วยซ้ำ 555 วันนี้เขามาทำประจำให้ห้องอัดนี้ แต่ที่ผมรู้จักเขาก็เพราะสมัยผมทำโปรเจค Mola mola อันเก่ากับโตน โซฟา จะได้ใช้บริการบ่อยๆ คุ้นเคยกันดี

โน๊ต หรือคนในวงการเรียกน้าโน๊ต กำลังปรับระดับเสียงต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการอัดกลอง คนๆ นี้ไม่ธรรมดา เพราะใครร้อนวิชาเขาจะมีข้อมูลดีๆ ในฮาร์ดดิสก์เตรียมไว้ให้ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าความถนัดอยู่ที่การอัดนอกสถานที่ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมว่าอัดในที่ร่มก็ฝีมือดีระดับพระกาฬเลยทีเดียว

ปิง Monotone ปิง New High ปิง Rhythmatique หรือ ดีเจปิงปิงแห่ง Fat Radio จะชื่อไหนก็คนๆ นี้แหละครับ ที่ผมอัญเชิญมารับหน้าที่ตีกลอง ด้วยเห็นแกฝากฝีไม้ลายมือบันทึกเสียงไว้ในงานดีๆ หลายงาน รวมทั้งเพลงฮิตของ สิงโต นำโชค ด้วย จึงเห็นควรชักชวนมาร่วมโปรเจคเป็นครั้งแรก ผมจำได้ว่าสมัยผมส่งซิงเกิล Mola mola Sunshine! ยุคก่อน ปิงนี่แหละเป็นคนถือแผ่นเข้าไปให้ อ๊ะไม่ใช่ๆ ผมไปฝากยามเพื่อให้ปิงมาเอาจากยามอีกที จากนั้นเพลงนั้นก็ไต่ชาร์ตขึ้นไปอันดับ 6 เลยทีเดียว ไอ้เพลงนั้นก็ไม่ใช่เพลงไหน มันคือเพลงนี้ที่เราเอามาทำใหม่กันนี่แหละครับ จำได้ว่าผมเคยชวนลอยๆ ไว้ว่าอยากให้มาตีกลองให้ผม วันนี้มันก็เป็นจริงแล้ว หลังจากกี่ปีจำไม่ได้ สำหรับปิงนี้ นอกจากจะมาอัดเพลงให้ผมแล้ว ผมยังไว้วางใจให้สอนกลองให้ลูกชายผมด้วยอีกหนึ่งดอก ส่วนภาพข้างล่างภาพแรกคือภาพจากครั้งที่สองที่ผมนำ Mola mola Sunshine! ไปออกบู๊ทที่งาน Fat Festival พอเจอดีเจปิงคนดัง ก็ต้องถ่ายรูปไว้หน่อย :)

สำหรับภาพที่สองคือผมกำลังทำท่าเป็นบอกเสป๊คการเล่นที่ต้องการเมื่อวานนี้ที่ห้องอัดครับ สองภาพนี้เวลาห่างกันประมาณ 7 ปีเห็นจะได้

ใครคุ้นเคยกับการทำเพลงของผม จะต้องรู้เลยว่ามือเบสที่ผมบังคับมาอัดให้ทุกครั้ง ต้องเป็นตี้คนนี้ แต่ไม่รู้จะเรียกตั้อะไร เพราะเล่นให้หลายคน เลยเรียกตี้เลิฟอีส ซึ่ง ณ ตอนนี้เขาเล่นประจำให้ Stamp อยู่ งานชุกคนต้องลุ้นให้ว่างมาอัดให้ผมบ้าง แล้วเขาก็มา แถมมาพร้อมเบสจิ๋ว Seilen ซึ่งถือเป็นของดีระดับไฮเอนด์จากญี่ปุ่น ถ้าหลับตาจะไม่รู้เลยว่ามันตัวแค่นี้ แต่ถ้าลืมตาก็จะเจอของอะไรวะโคตรเท่เรยจริงๆ ดีไม่ดีดูจากการที่พี่ตี้ครอบครองเบสจิ๋วนี้ถึงสามตัว ส่วนตัวที่สี่กำลังสร้างอยู่ ณ แดนญี่ปุ่น ซึ่งคนขายก็ไม่ใช่ใคร กูเองครับ :) สำหรับตี้นี้ประวัติกับผมยาวนานโคตรๆ ครับ เพราะคุณรู้ไหม ผมกับตี้เคยเล่นอยู่วงเดียวกันสมัยจบใหม่ๆ (คุณคงคิดในใจ พวกมึงไม่ดังแล้วกูจะรู้จักไหม ซึ่งผมก็ว่างั้นเหมือนกันครับ) คือตอนผมจบมาใหม่ๆ หมาดๆ ผมนี่เล่นดนตรีถ่อยมาก แต่เส้นดีชิบหาย เลยทำให้ผมไปได้งานเล่นกลางคืนที่ร้านเบียร์เยอรมันหรูแถมรัชโยธิน แต่ผมคนเดียวจะไปเล่นอะไรได้ เลยให้ตาเม้งเพื่อนรักผม ไปเอาวงของมันมาสวมผมเข้าไป ออกมาเป็นวงวีนัสบวกไอ้ด่อง แล้วไปเล่นที่ Hartmann Dorfer กัน จำได้ตอนนั้นซ้อม มี ต้า พาราด็อกซ์ มานั่งชิลๆ ดูเราซ้อมที่ ม.หอการค้า (พี่ใหญ่วงเรียนอยู่ที่นั่น) พร้อมๆ กับวงเกิร์ล ซึ่งกลายชื่อมาเป็น Instinct ที่แวะเวียนมาที่ห้องซ้อมนี้ หน้าที่ผมโคตรสบาย ตีคอร์ด กับเล่น มิวท์ ชิลไปเลย จำได้ว่าเล่นเสร็จมีอาหารกินฟรี อย่างเปรมปรีย์ แต่เล่นไปเล่นมา ผมก็เกิดเบื่อการซ้อม แล้วโดดไปเลยโดยไม่ได้นัดหมาย ปล่อยให้ชาวคณะเล่นกันต่อไป นานแค่ไหนไม่รู้ แต่ผมชิ่งไปก่อน

เบสเล็กๆ แบบนี้เสียงดีมากครับ งานเพลงผมนอกจากจะเป็นดนตรีน่าฟังแล้ว ยังเป็นการแสดงศักยภาพเครื่องดนตรีดีๆ อีกด้วย รอฟังนะครับ แล้วจะพบว่าคุณไม่ควรใช้ตาคิด ใช้หูฟัง สมองประมวล แล้วมาสั่งเบสนี่ซะ รู้ไหมครับว่าชีวิตมือเบสมันดีขึ้นแค่ไหน เวลาตระเวณไปกับเบสเล็กที่ใช้งานดีแบบนี้ ส่วนราคา ผมบอกเลยว่าตี้ซื้อได้ในราคาทุนผมทุกตัว สาเหตุคือเขาและผมมีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยเล่นกลางคืน มาวงวีนัสเขาก็เอาเพลงผมไปเสนอแกรมมี่(แต่แกรมมี่ไม่เอา) มาสปินนาเคิลเขาก็มาเล่นให้ มาโมลาโมล่าเขาก็มาลงแขก ต่อด้วย asaloha มารึเปล่าวะ? สงสัยมา แล้วนี่มา Mola mola รุ่นสองก็ยังมา ในโลกนี้มีมือเบสคนเดียวที่มีความสัมพันธ์แบบนี้กับผม ฉะนั้นท่านอื่นจะได้ราคาทุนแบบเขาได้ไง บางทีค่าของมิตรภาพเขาอาจจะให้ผมมากกว่าราคาเบสด้วยซ้ำไป

รูปแรกคือตอนอัดฉันน่าจะบอกรักไปรอบที่แล้วเมื่อ 8 ปีก่อน ส่วนภาพที่สองคือเมื่อวานนี้ครับ จะเห็นว่านอกจากไม่มีใครแก่ขึ้นแล้ว ยังหล่อขึ้นอีกด้วย ส่วนที่นอนหลับอยู่ข้างหลังภาพแรกนั่น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อนที่รักของผม โตน โซฟา โปรดิวส์เซอร์ของโปรเจคที่แล้วครับ :)

ห้องอัดนี้เด็ดครับ มีข้าวให้ทานด้วย ไม่ใช่ข้าวซื้อ แต่เป็นอาหารปลายจวักจากแม่ครัวชั้นดี อาหารเป็นอาหารง่ายๆ แต่รสชาดไม่ใช่จะหากินกันได้ง่ายๆ เมื่อวานเราได้ทานข้าวหมูทอดกระเทียมไข่ดาว หมูทอดมาเยอะเป็นหม้อ ไข่ดาวกองมาเกินจำนวนคน กินกังพุงกาง แถมอร่อยระดับห้าดาวยังไม่พอครับ ส่วนรอบหน้า ผมรีเควสผัดมักกะโรนีไป เขาบอกที่นี่เด็ด เลยต้องลองสักหน่อย ดูภาพแล้วอาจจะดูไม่ออกนะว่าเพลงดี ลองไปฟังเพลงแล้วกันครับ พวกผมก็เหมือนเบสจิ๋ว ต้องใช้หูฟัง แล้วจะทราบเองว่าสะเด่าครับ 555

ท่านนี้เห็นจะเป็นรายเดียวที่ผมไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่ทุกคนแนะนำให้ชวนเขามาเล่นเพอร์คัสชั่นให้เพลงนี้ เขาคือท่าน M จาก Good September ครับ วงนี้ผมชอบอยู่แล้ว และเสียงบองโก้กับคองก้าของท่าน M นี่แหละ ที่ผมคุ้นเคยและรู้เลยว่าเพลงที่ได้ยินคือเพลงของ Good September เขาเป็นเหมือนลายเซ็นต์ของวงเลยทีเดียว แล้วทำไมจะไม่ลองชวนมาลงแขกล่ะครับ

มาครั้งนี้ เขาหอบอุปกรณ์มาเต็มหน้าตัก แต่ใช้ไม่หมดที่เอามา ถ้านับตามชิ้น คิดว่าเราใช้ไปแค่ 10% ของอุปกณ์เท่านั้นเอง แต่ผลงานออกมากลมกล่อมครับ หลังจากบันทึกเสียงเสร็จ เราเล่าที่มาที่ไปของโปรเจคนี้ให้ M ฟัง เขางงงง แต่เราเล่ามาหลายรอบแล้วเลยปล่อยไป โดยปิงปองฝึกงานที่มาช่วยถ่ายภาพงานนี้ ได้บันทึกเรื่องราวเพื่อสรุปเป็นแผ่นออกมาแล้ว จะได้ไม่ต้องอธิบายกันยืดยาว แต่ปิงปองจะทำจริงหรือเปล่าก็ต้องลุ้นเอาครับ

ขนุน หรืออาจารย์ขนุน คือศิลปินผู้คร่ำหวอดในวงการดนตรีมานาน เขาเป็นทั้งนักดนตรีและอาจารย์ ไม่ใช่อาจารย์ธรรมดา อาจารย์อย่างดีครับ เป็นผู้คิดค้นหลักสูตรการสอนดนตรีให้ KPN และสอนอยู่ที่ Bangkok Patana ด้วย ถ้าจะถามว่าเขาเล่นเครื่องดนตรีอะไร ผมบอกเลยว่าขนุนเล่นทุกอย่าง และดีด้วย ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือถ้าใครแย่งเครื่องดนตรีเขาไปหมดแล้ว เขาทำหน้าที่ร้องได้ และดีด้วย นี่คือนิยามความครบวงจรของขนุนครับ ซึ่งวันที่มาอัดรอบแรกนี้ ขนุนมาอัดให้สองอย่าง Alto Sax และ Tenor Sax จัดการเตรียมโน๊ต ตรวจการอัดเองเสร็จสรรพ ทุกขั้นตอนเสร็จอย่างรวดเร็ว ทำให้เราได้กลับบ้านกันก่อนเวลาถึง 90 นาที

และแน่นอนเราไม่ได้เพิ่งรู้จักกัน ขนุนเจอผมครั้งแรกผมยกมือไหว้ เพราะนึกว่าอาวุโสกว่า นั่นเกิดขึ้นเมื่อสัก 7 ปีก่อน ตอนที่เขามาซื้ออูคูเลเล่จากผมที่บ้าน ภาพแรกคือเมื่อวานนี้ ส่วนภาพที่สองคือสมัยเจอกันใหม่ๆ ขนุนเปิดอูคูเลเล่คาเฟ่ ชื่อ อูคูคาเฟ่ด้วย อยู่ที่ทางน์อินทาวน์ เราทำกิจกรรมอูคูเลเล่ร่วมกันหลายงาน ขนุนมาช่วยงานผมต่อเนื่องตลอดมา แม้วันร้ายๆ เขาก็มาช่วยได้ตามนัด คราวนี้ได้มีโอกาสนำเสียงแซ็กโซโฟนเพราะๆ ของขนุนมาใส่งานของผม มันช่างละมุนหูยิ่งนัก

ที่เล่ามาคือสิ่งที่เราทำในการอัดวันแรก ส่วนภาพข้างบนคือของดีของห้องอัดนี้ เขามีเก้าอี้นวดอย่างดีไว้บริการ ใครมาไม่ได้ลองแปลว่ามาไม่ถึง ใครได้ลองเป็นต้องสบายเหมือนที่เห็นในรูปทุกคนไปครับ

ส่วนคนที่จะลืมไม่ได้เลยคือผู้ประสานงานของโปรเจคนี้ ตารักแห่งดิงดอง คนที่หันหลังนี่เอง ส่วนผมแม้หัวโล้นในภาพนี้ ก็ต้องนำมาเผยแพร่ เพราะมันคือการบันทึกการทำงานของเรา ซึ่งตารักนอกจากจะดูแลติดตามงานต่างๆ แล้ว เขายังจะมาเล่นอูคูเลเล่บันทึกเป็นเวอร์ชั่นซอฟท์ของเพลงนี้ในการอัดครั้งหน้าอีกด้วย ผมเลยเก็บหน้าเขาไว้นำเสนอรอบหน้า แต่จริงๆ ดูดีๆ ข้างบนก็มีครับ ป.ล. ปิงปองตากล้อง รอบหน้าขอหล่อๆ ครับ แบบโล้นหรือหลับตา หรือแม้กระทั่งอ้วนและคล้ำช่วยหลบให้ด้วย ป.ล.ย่อยปิงปองตากล้องไม่มีภาพเพราะเป็นคนถ่ายครับ และนี่คือ Mola mola Sunshine! กับการไปอัดเพลง ฉันน่าจะบอกรักไป...ในวันที่เธอบอกรักมา รอบแรกจากทั้วหมดสองรอบ เพื่อโปรเจคเดิมพันนี้ครับ :)


Follow Us
  • Twitter Basic Black
  • Facebook Basic Black
  • Google+ Basic Black
Recent Posts
bottom of page